วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้เริ่มประชุมโดยมีวาระการพิจารณาคดีที่สำคัญ 3 คดี คือคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยนายทะเบียนพรรคการเมือง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคและห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรค   และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่  หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี  นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งตาม พ.ร.ป ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560  มาตรา 92 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง   เนื่องจากมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข    

ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567  โดยคดีนี้เป็นการพิจารณาหลังจากเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน  ศาลได้มีคำสั่งให้นำพยานเอกสารในสำนวนการไต่สวนคดีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มารวมไว้ในสำนวนคดีนี้   และได้แจ้งให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลและเลขาธิการ  กกต.เสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นล่วงหน้าตามประเด็นที่ศาลฯกำหนดกลับมายังศาลฯภายใน 7 วัน  นับแต่วันที่ได้รับหนังสือเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยคดี  รวมถึงกำหนดให้คู่กรณีเข้าตรวจพยานหลักฐานในวันอังคารที่ 9 กรกฎาคม 67    

ดังนั้นการพิจารณาในวันนี้ จึงต้องลุ้นว่าศาลจะมีคำสั่งเกี่ยวกับกระบวนวิธีพิจารณาคดีนี้อย่างไรต่อไป     ข้อเท็จจริงที่ได้เพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยแล้วหรือยัง และจะมีการเปิดไต่สวนตามที่พรรคก้าวไกลร้องขอหรือไม่

นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังจะพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคำร้องที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213   ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา  ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน หรือ MOU 2544  ซึ่งจัดทำขึ้นโดยไม่ได้ขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  และการที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศนำ MOU 2544 มาใช้เป็นเครื่องมือดำเนินการแบ่งเขตอธิปไตยของไทยทางทะเลอ่าวไทย  และแบ่งผลประโยชน์ทรัพยากรพลังงานธรรมชาติทางทะเลของไทยให้แก่กัมพูชาเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิ์ของตนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 หมวด 3สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยมาตรา 25 และมาตรา 43 (2) หรือไม่ 

รวมถึงจะมีการแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือและลงมติในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ส่งคำโต้แย้งเพิ่มเติมของนายวิชา เบ้าพิมพา จำเลยที่ 1 น.ส.อนา วงสิงห์จำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.1571/2566 ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 212 ว่าการที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค   พ.ศ 2534 มาตรา 4 วรรคสองเฉพาะในส่วนโทษทางอาญา ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา  26  หรือไม่ด้วย

ส่วนในคดีประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา 40 คนขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง  (4)  ประกอบมาตรา 160(4)  และ(5)   หรือไม่จากเหตุนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้ว่านายพิชิต ขาดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญนั้น เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ศาลได้มีคำสั่งให้หน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นและส่งสำเนาเอกสารหลักฐานตามประเด็นที่ศาลกำหนดยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน   นับแต่วันได้รับหนังสือ  เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยและได้กำหนดที่จะพิจารณาคดีนี้ต่อในวันที่ 10 กรกฎาคม