ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทรงเป็นขัตติยนารีผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถ พระจริยวัตรที่งดงาม และพระเมตตาที่มากล้น ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ สร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ทรงเป็นองค์ผู้นำที่มีบทบาทสำคัญ ในวงวิชาการวิทยาศาสตร์โลก ผลงานในพระองค์ล้วนเป็นที่ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ จนทรงได้รับการถวายพระสมัญญานามว่า “เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์” ทรงมีพระปณิธานอันแน่วแน่ในการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศ ภายใต้การดำเนินงานของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ที่ทรงก่อตั้งขึ้นตั้งแต่พุทธศักราช 2530 ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญนำไปสู่งานวิจัยหลากหลายด้าน ทั้งเพื่อการวินิจฉัย การป้องกัน และการรักษาโรค อันเป็นการส่งเสริมสุขภาพอนามัยและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน
กว่า 3 ทศวรรษที่องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทรงมุ่งมั่นสร้างองค์ความรู้ด้านการศึกษาวิจัย วิชาการ และวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตลอดจนการพัฒนางานวิจัยและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ผ่านโครงการวิจัยเชิงบูรณาการรอบด้าน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแนวพระนโยบายและการดำเนินงานวิจัยส่วนหนึ่งได้สอดคล้องกับแนวคิดหลักสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health Concept) ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization - WHO) อันเป็นแนวคิดและวิธีการแก้ไขปัญหาสุขภาพแนวทางใหม่ ที่ได้รวมแนวทางปฏิบัติทั้งด้านสุขภาพคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีแบบองค์รวม และสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย ดังผลสัมฤทธิ์จากงานวิจัยและวิชาการที่ทรงดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องในหลายโครงการ ซึ่งได้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์และนำไปสู่การยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกัน การสนับสนุนพัฒนางานด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ประชาชน องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์จึงมีพระนโยบายให้สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ มุ่งบูรณาการงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เพื่อสร้างนวัตกรรมและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่เสมอ ดังเรื่องการวิจัยและพัฒนายารักษาโรค ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต ด้วยพระอัจฉริยภาพในฐานะที่ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านเคมีและวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ ด้วยทรงใช้พระปรีชาสามารถ และพระประสบการณ์ในการวางรากฐานเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านยาให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ยาต้านโรคมะเร็ง”
ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลต่อการแก้ปัญหาสุขภาพอนามัยของประชาชน ทรงตระหนักถึงความสำคัญในการคิดค้นพัฒนายา เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่ความมั่นคงทางยาที่มีนวัตกรรมที่สร้างคุณค่าและยั่งยืน อีกทั้งยังทรงแสวงหาความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนชั้นนำระดับโลกในหลายประเทศ ตลอดจนทรงริเริ่มจัดทำโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการวิจัยและพัฒนายาชีววัตถุที่ได้มาตรฐานภายในประเทศไทย จึงนำมาสู่การจัดตั้ง “ศูนย์วิจัยและพัฒนาชีววัตถุ” สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ (CRI’s Center for Biologics Research and Development - CBRD) ที่มุ่งเน้นการดำเนินงานวิจัยและพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ซึ่งสามารถนำไปใช้รักษาโรคต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการพัฒนาบุคลากรควบคู่ไปด้วย จากพระนโยบายและพระวิสัยทัศน์ ทำให้คณะนักวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ประสบความสำเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุคล้ายคลึง “ทราสทูซูแมบ” (Trastuzumab) ที่ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการเตรียมข้อมูลเพื่อขึ้นทะเบียนยา ถือเป็นนวัตกรรมด้านยาชีววัตถุชิ้นแรกของประเทศไทย โดยนักวิจัยชาวไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งการพัฒนายาต้านมะเร็งนี้ ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจวบจนปัจจุบัน
นอกจากนี้ ทรงมุ่งมั่นในการศึกษาค้นคว้าและพัฒนางานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อหาแนวทางแก้ไขและป้องกันผลกระทบของสารพิษ หรือมลพิษที่เกิดขึ้นกับสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลงานวิจัยที่ผ่านมาได้เป็นที่ยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง อาทิ การศึกษาวิจัยเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกิดจากการได้รับมลพิษทางอากาศ การศึกษาวิจัยถึงผลกระทบของสารเคมีที่มีคุณสมบัติก่อมะเร็ง ได้แก่ สารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม หรือสารที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมดังเช่น “สารหนู” ทั้งนี้ กลไกการเกิดของสารพิษต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นสารเคมีที่มีความเป็นพิษสูง และเป็นอันตรายต่อชีวิตหากสัมผัสเป็นเวลานาน อีกทั้งยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถก่อให้เกิดโรคเรื้อรังชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับระบบการหายใจ ระบบหัวใจ และการไหลเวียนของเลือด เป็นต้น
อีกหนึ่งพระกรณียกิจสำคัญขององค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ในการดูแลและส่งเสริมสุขภาพอนามัยประชาชนแบบองค์รวมและทั่วถึง ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ได้เสด็จไปทรงงานด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนทั่วประเทศ ในการให้บริการออกตรวจรักษาโรค และฟื้นฟูสุขอนามัยของประชาชนผู้เจ็บป่วยที่ยากไร้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้าถึงการให้บริการด้านสาธารณสุขที่ดีและทั่วถึง
พร้อมกันนี้ ยังทรงให้ความสำคัญครอบคลุมไปถึงชีวิตและสุขภาพอนามัยที่ดีของสัตว์ ด้วยทรงตระหนักถึงปัญหาและภัยร้ายแรงของโรคติดต่อจากสัตว์ที่สามารถแพร่ระบาดมาสู่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหา “โรคพิษสุนัขบ้า” ที่สามารถคร่าชีวิตทั้งคนและสัตว์ได้ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้ในการรักษา แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ด้วยเหตุนี้ จึงทรงรับเป็นประธานกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินโครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้าตามพระปณิธานฯ ” และโปรดให้มีการออกหน่วยสัตวแพทย์อาสาจุฬาภรณ์ทั่วประเทศภายใต้โครงการฯ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงและสัตว์ไร้ที่พึ่งได้รับการดูแลด้านสุขภาพอย่างถูกวิธี ทั้งการให้บริการฉีดวัคซีน การผ่าตัดทำหมัน ตลอดจนการจัดฝึกอบรมแบบบูรณาการ เผยแพร่ความรู้ พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการปัญหาโรคพิษสุนัขบ้าสู่ชุมชนตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย
จากพระกรณียกิจการทรงงานอันหลากหลายด้าน ที่ทรงอุทิศพระองค์ด้วยความวิริยอุตสาหะมาอย่างยาวนาน ทำให้ทรงเห็นถึงความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งของสุขภาพคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม กอปรกับทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นของการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ จึงทรงมีพระดำริให้จัด การประชุมวิทยาศาสตร์นานาชาติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (Princess Chulabhorn International Science Congress - PC) ครั้งที่ 9 ในหัวข้อ “ความท้าทายของสุขภาพหนึ่งเดียว : บทบาทของวิทยาศาสตร์ชีวภาพและเคมี” (The Challenges of One Health: The Roles of Biosciences and Chemistry) ระหว่างวันที่ 15-18 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ เพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 และเพื่อเป็นเวทีการประชุมระดับนานาชาติครั้งสำคัญที่จะเน้นบทบาทของวิทยาศาสตร์ชีวภาพและเคมี กับการแก้ปัญหาความท้าทายของสุขภาพหนึ่งเดียว ซึ่งในปัจจุบันได้มีการนำแนวความคิดดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาองค์ความรู้อย่างบูรณาการระหว่างสหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งการแพทย์ การสัตวแพทย์ และอนามัยสิ่งแวดล้อม ถือเป็นพระนโยบายเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการแสวงหาและทำให้เกิดความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัย การเผยแพร่ข้อมูล การแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และความก้าวหน้าของงานวิจัยตามแนวคิดหลักสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health Concept) ระหว่างนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการในสาขาต่าง ๆ รวมทั้งมีความพยายามในการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสหสาขาวิชาชีพทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพอนามัยที่ดีให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
นับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างงานวิจัยใหม่ ๆ รองรับวิกฤติการณ์โรคต่าง ๆ และแก้ไขปัญหาสุขภาพของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม การพัฒนาองค์ความรู้ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรในวงการวิทยาศาสตร์และวิชาการ รวมทั้งการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศในทุกมิติ ล้วนก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อประเทศชาติและประชาชน พระกรณียกิจที่ทรงอุทิศพระองค์ทรงงานด้านวิทยาศาสตร์และการสาธารณสุขล้วนเป็นที่ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับชาติและนานาชาติอย่างต่อเนื่อง
ในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเจริญพระชนมายุ 67 พรรษา วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ขอน้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าแก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยสืบไป