วันที่ 1 ก.ค.67 ที่มูลนิธิ มงคล-จงกล ธูปกระจ่าง ตำบลเชียงรากใหญ่ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เตรียมเปิดคลินิกการแพทย์แผนไทยบริการคนไข้ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พร้อมเปิดใจกับผู้สื่อข่าวที่ติดตามความเคลื่อนไหวหลังจากที่พ่ายศึกการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารจังหวัดปทุมธานีที่มีประชาชนเฝ้าติดตามกันทั้งประเทศ

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า เราทำดีที่สุดแล้ว จบแล้วคือจบ ไม่อยากไปโทษใครทั้งสิ้น ในส่วนของเรื่องกฎหมายก็เป็นเรื่องของกฎหมายไป ทาง กกต.ก็ว่าไปตามระบบ ไม่อยากที่จะไปประเมินใดๆทั้งสิ้น แต่อยากฝากขอบคุณพี่น้องชาวปทุมธานีด้วยใจจริง ด้วย 201,212 คะแนน จะไม่ลืมเลือนพี่น้องชาวปทุมธานีโดยเด็จขาด และเมื่อคืนก็หลับสบายและได้คุยกับลูกหลาน 3 ปีกับ 3 เดือนเป็นภาระที่หนักหน่วง หลังจากเกษียณราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการนครบาลมา จนมารับบท นายก อบจ. ตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา ได้ดูแลพี่น้องประชาชนในทุกด้าน ยืนยันว่าตลอดการทำงานมาไม่มีวันหยุด ทำงานท่ามกลางโรคระบาดเกือบ 2 ปี เจอโควิด ไข้หวัดใหญ่ น้ำท่วม น้ำแล้ง ฝุ่นละออง เป็นภาระที่หนัก เช้าวันนี้ผมโล่งใจ ได้แต่ขอบคุณพี่น้องประชาชน

พี่น้องประชาชรเขาทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อย่าให้ออกจากปากผมเลย ไม่ขอวิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่แล้วไปแล้วก็แล้วไป เป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจตากกฎหมาย ฝากทาง กกต.ไว้ ฝากทางศาลยุติธรรมไว้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป 9 โมงเช้าก็จะรักษาคนไข้ตามปกติ วันละ 40-50 คน และจะยกเว้นวันพระเท่านั้นเอง วันนี้สบายใจได้กลับมาใช้ชีวิตสบายๆ อยากให้การเมืองในจังหวัดปทุมธานีมีความสามัคคีกัน ที่เราทำงานตลอดเวลา 3 ปีกว่า เราต้องทำงานกับทุกพรรคให้ได้ เราต้องทำงานกับทุกฝ่ายให้ได้ ผมถึงยกตัวอย่างเสมอดูจังหวัดสุพรรณบุรี บุรีรัมย์ ถ้าการเมืองยังทะเลาะเบาะแว้งกัน กัดกันไม่จบไม่สิ้น แล้วเห็นแก่ผลประโยชนืกัน จังหวัดปทุมธานีเมื่อไรก็ไม่เจริญ ใครเป็นรัฐบาลเราก็ต้องประสานได้ อย่างที่ทำงานในช่วงแรกสมัยนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ เราก็ประสานรัฐมนตรีต่างๆ เพื่อที่จะดึงงบประมานมาช่วย เช่นการซื้อวัคซีนให้พี่น้องชาวปทุมธานี โครงการบางโครงการเกินอำนาจ อบจ. ที่งบประมานแค่ 1,750 ล้านบาท แต่สิ่งที่เราทำไว้ปีหน้าเรามีเงินท่วมมา 481 ล้านบาท ผู้ที่มาต่อผมจะมีเงินงบประมาณกว่า 2,250 ล้าน ขอให้บริหารให้เกิดประโยชน์กับประชาชน อย่างโครงการโมโนเรล เราพยายามทำเต็มที่ แต่ต่อจากนี้ไปก้ไม่รู้ว่าจะสานต่อได้หรือไม่ เพราะต้องใช้งบกว่า 30,000 ล้าน มันเกินอำนาจของ อบจ. ถ้าเราไปยึดติดกับพรรคใด พรรคหนึ่ง มันเป็นอุปสรรคการพัฒนาจังหวัดในภาพรวม

ปทุมธานีถึงอยู่อย่างนี้ไง อยู่ภายในอำนาจบ้านใหญ่แต่ละบ้าน ยึดครองมาแต่ละจุดแต่ละอบต. การเมืองท้องถิ่นจะเป็นของใครไม่ได้ ต้องเป็นของประชาชน แล้วอำนาจอยู่ที่พี่น้องประชาชนที่จะให้ใครมาดูแลทุกข์สุข ดูแลหลายๆด้านที่เกี่ยวพันกับตัวเขา ผมก็ยืนหยัดกับประชาธิปไตย ถึงผมจะแพ้แต่ผมก็ภูมิใจนะ ผมไม่มองว่าใครจะลงมาช่วยก็ว่ากันไปให้สะใจไป ผมก็สบายใจของผมแบบนี้ ผมไม่คิดที่จะทะเยอทะยานไป พี่แจ๊สบอกแล้วว่าหลังเกษียณใช้ชีวิตสบายๆ แต่วันนี้เราโดเรามาสู่การเมือง เพราะคิดว่าบ้านเมืองเราเป็นบ้านเกิดเมืองนอน คิดตอบแทนบ้านเกิดเมืองนอน คิดตอบแทนลูกหลานเรา วางอนาคตให้ลูกหลานเรา เพราะปทุมธานีเป็นเมืองมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เมืองท้องไร่ท้องนาแบบเก่า วิสัยทัศน์ในการนำพาปทุมธานีที่จะก้าวหน้าต่อไปจะต้องให้ทันโลกทันเหตุการณ์ทันสมัย เทคโนโลยีต่างๆ ต้องเข้ามาช่วย จะเห็นว่านวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะ เราจะต้องให้ทันกันมัน

ก็ต้องดูต่อไปในภายภาคหน้า ผมก็บอกเสมอว่า 70 แล้วปีนี้ ผมสร้างมูลนิธิฯ แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อรักษาคนไข้ตามปณิธานเดิมที่เกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2557 จากนั้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ผมได้เปิดมูลนิธิฯแห่งนี้ และเปิดรักษาคนไข้มาโดยตลอด แต่เมื่อพี่น้องประชาชนต้องการให้เรามาแก้ปัญหา เราก็มาแก้ปัญหาในช่วงวิกฤต ในช่วงโควิด แต่เมื่อผ่านพ้นไปแล้ว อำนาจของพี่น้องประชาชนให้เรากลับมาอยู่ที่เก่า เราก็กลับมาอยู่ที่เก่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พี่ก็จะรักษาคนไข้ของพี่แจ๊สไปตลอด หากในอนาคตอะไรที่เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนผมก็ทำ เพื่อตอบแทนบ้านเกิดผม และอยากเหตุลูกหลานเรามีอนาคตที่ดีเท่านั้น