ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ฝากไว้เป็นรอยแผล จากคมฝีปากที่ต่างฝ่ายต่างเชือดเฉือนระหว่างกัน
สำหรับ การอภิปรายโต้วาทีเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ หรือดีเบต นัดแรก ของผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2024 (พ.ศ. 2567) ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ วัย 78 ปี ผู้สมัครฯ จากพรรครีพับลิกัน กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน วัย 81 ปี ผู้สมัครฯ จากพรรคเดโมแครต ซึ่งมีขึ้นที่ ห้องส่ง หรือสตูดิโอ ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ในนครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น เจ้าภาพจัดการดีเบตนัดแรกนี้ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 90 นาที หรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง นั้น ก็ได้มอบให้สองผู้ประกาศข่าวชื่อดังของทางสถานีฯ มาเป็นพิธีกรดำเนินรายการและเป็นผู้ตั้งคำถาม นั่นคือ นายเจ็ค แท็ปเปอร์ และนางดานา แบช ซึ่งภายในสตูดิโอ ก็จะไม่มีผู้ชม เพื่อป้องกันความวุ่นวายจากบรรดาฝ่ายกองเชียร์ ที่อาจสร้างความปั่นป่วนได้
ทั้งนี้ เมื่อผู้สมัครฯ ทั้งสองมาถึงสตูดิโอ ต่างก็แยกย้ายไปยืนบนแท่นพูด โดยที่ทั้งคู่ไม่ได้จับมือทักทายตามธรรมเนียมกันแต่ประการใด
ก่อนเปิดประเดิมคำถามด้วยประเด็นเศรษฐกิจ ที่นายแทปเปอร์ ยิงคำถามไปยังประธานาธิบดีไบเดนถึงการใช้ชีวิตของชาวอเมริกันอย่างยากลำบากในยุคประธานาธิบดีไบเดน มากกว่าสมัยของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งประธานาธิบดีไบเดน ตอบด้วยการยอมรับว่า ภาวะเงินเฟ้อ ทำให้สินค้าต่างๆ ราคาแพงขึ้นเป็นอย่างมากตั้งแต่ช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีใหม่ๆ เมื่อปี 2021 (พ.ศ. 2564) แต่ทว่า เขาควรได้รับคำชื่นชมเพราะทำให้สถานการณ์กลับมาดีดังเดิมหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19
ขณะที่ ทางฟากของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โวเสียงขรมแบบเกทับว่า ในสมัยที่ตนเป็นประธานาธิบดี ได้ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 และเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสร้าย ตนก็ยังได้มีมาตรการป้องกันเศรษฐกิจของประเทศต้องดิ่งเหวอีกต่างหากด้วย
จากนั้นตามมาด้วยประเด็นต่างๆ ที่สองพิธีกรหยิบยกขึ้นมาถาม
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลก อันรวมไปถึงเรื่องสงครามในต่างประเทศ ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวโจมตีประธานาธิบดีไบเดนว่า ทำให้ประเทศต้องได้รับความอับอายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จากการที่ทำให้สหรัฐฯ เหมือนเป็นประเทศโลกที่สาม ไม่ได้รับความเคารพจากชาวโลก ยังถูกนานาชาติมองว่า “โง่” อีกต่างหากด้วย พร้อมยกตัวอย่าง จากการที่สหรัฐฯ ถอนทัพออกจากอัฟกานิสถาน ที่มีทหารสหรัฐฯ เสียชีวิตอย่างที่ไม่น่าจะเป็น หรือแม้กระทั่งสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า หากได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็จะทำให้สงครามนี้ยุติ ก่อนที่เขาจะเข้าไปนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีในทำเนียบขาวให้ได้ด้วยซ้ำ
โดยในประเด็นนี้ บรรดานักวิเคราะห์ ออกมาแสดงทรรศนะว่า อย่าเพิ่งเย้ยหยันปรามาสอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ว่า เป็นเรื่องเพ้อฝันเป็นอันขาด เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็มีความสนิทสนมกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ชี้ชะตาในสงครามดังกล่าว ก็ต้องถือว่า แนบแน่นในระดับหนึ่งอยู่เหมือนกัน เปรียบเทียบกับประธานาธิบดีไบเดนแล้ว ต้องบอกว่า ห่างกันเลย
นอกจากนี้ ก็ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ทางสองพิธีกรหยิบยกขึ้นมาถาม เช่น สิทธิการทำแท้ง การที่ต่างด้าวลักลอบเข้าพรมแดนสหรัฐฯ จากฝั่งประเทศเม็กซิโก การประกันสังคม การที่ผู้สมัครฯ ทั้งสองจัดว่าเป็นผู้สูงวัยด้วยกันแล้ว เป็นต้น
ภายหลังจากเสร็จสิ้น การดีเบต ปรากฏว่า ทางฝ่ายพลพรรครีพับลิกัน ออกมาตีปีกด้วยความดีใจ พร้อมประกาศว่า เป็นชัยชนะของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้สมัครฯ ที่พวกเขาให้การสนับสนุนอยู่ เมื่อเปรียบเทียบการแสดงวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีไบเดนแล้ว
ถึงขนาดพลพรรครีพับลิกันบางราย เช่น นางเอลิซ สเตฟานิค สส.พรรครีพับลิกัน แห่งรัฐนิวยอร์ก ออกมากล่าวว่า ถือเป็นชัยชนะของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างท่วท้นล้นหลาม และอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ นอกจากจะมุ่งมั่นเพื่อชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้แล้วนั้น เขาก็ยังจะนำความสำเร็จมาสู่ประชาชนชาวอเมริกันอีกต่างหากด้วย
เช่นเดียวกับ นายทิม สก็อตต์ สว. พรรครีพับลิกัน แห่งรัฐเซาท์แคโรไลนา ที่ออกมากล่าวว่า ตนเชื่อมั่นว่า ผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง ราวร้อยละ 10 – 15 ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร หากได้ฟังการดีเบตครั้งนี้ ก็จะต้องลงคะแนนให้แก่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์อย่างแน่นอน เพราะอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีความเหนือกว่าประธานาธิบดีไบเดนอย่างเห็นได้ชัดและมิอาจปฏิเสธได้
ขณะที่ ทางฝั่งพรรคเดโมแครต ต้นสังกัดของประธานาธิบดีไบเดน ปรากฏว่า นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ได้สวมบทเป็น “นางแบก” ด้วยการออกมายอมรับว่า ประธานาธิบดีไบเดน ดูจะออกตัวช้าในการดีเบตครั้งนี้ แต่ก็มีความหนักแน่นในตอนจบของการอภิปราย อย่างไรก็ตาม อยากจะให้ประชาชนชาวอเมริกันดูที่ผลงานการบริหารประเทศดีกว่า ไม่ใช่มองแต่การดีเบตเท่านั้น
ทั้งนี้ การออกสวมบทเป็น “นางแบก” ของรองประธานาธิบดีแฮร์ริสข้างต้น มีขึ้นภายหลังผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวสหรัฐฯ หลังการดีเบต โดยทางซีเอ็นเอ็น แล้วพบว่า ร้อยละ 67 ของผู้ชมทางโทรทัศน์เห็นว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นฝ่ายชนะในการดีเบต ส่วนทางฝั่งที่เห็นว่า ประธานาธิบดีไบเดนเป็นฝ่ายชนะมีเพียงร้อยละ 33 เท่านั้น
ว่ากันถึงคะแนนนิยมล่าสุดของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กับประธานาธิบดีไบเดน ก็ปรากฏว่า ยังถือสูสีใกล้เคียง ซึ่งแม้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ นำหน้าเหนือกว่า แต่ก็ไม่ทิ้งห่างเมื่อเปรียบเทียบกัน โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ นำหน้าเหลื่อมที่ 1 – 4 จุด เท่านั้น เช่น ร้อยละ 41 – 40 หรือร้อยละ 48 – 44 สร้างความวิตกกังวลต่อบรรดาชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีไบเดนอยู่มิใช่น้อยเหมือนกันว่า นายไบเดน อาจจะแพ้เลือกตั้ง ทว่า ก็ยังใจชื้นขึ้นมาอยู่บ้าง เมื่อหันไปมองในคะแนนนิยมในแต่ละรัฐ ปรากฏว่า หากเลือกตั้งกันในวันนี้ คะแนนของผู้เลือกตั้ง หรืออิเล็กทอรัลโหวตรวมกันแล้วจากแต่ละรัฐของประธานาธิบดีไบเดน ยังเหนือกว่าที่ประมาณ 222 ต่อ 219 เสียง ด้วยกัน