วันที่ 29 มิ.ย.67 นายแสวง บุญมีเลขาธิการ กกต โพสต์ข้อความ ระบุ สิทธิสมัครรับเลือก สมัครเป็นเท็จ รับจ้างสมัคร .คดีที่น่าสนใจในการเลือกลงกลุ่ม ศาลฏีกาได้มีคำสั่ง คดีหมายเลขดำที่ ลต สว 185/2567 คดีหมายเลขแดงที่ ลต สว 169/2567 ว่า "การที่ผู้คัดค้าน(ผอ.เลือกระดับระดับอำเภอ)รับสมัครผู้ซึ่งประกอบอาชีพทำนาเกลือเป็นไปตามที่ผู้สมัครดังกล่าวประสงค์เข้ารับเลือกในกลุ่มที่ 5 ซึ่งผู้คัดค้านได้ประกาศรายชื่อผู้สมัครแยกเป็นรายกลุ่มตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 อันเป็นการดำเนินการตามความประสงค์ของผู้สมัคร ซึ่งเป็นการปฏิบัติอำนาจหน้าที่ของผู้คัดค้าน จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้อง(ผู้สมัครที่ไปร้องที่ศาลฎีกา)จะยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง"
สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 107 ที่บันทึกเจตนารมณ์ใว้ว่า เพื่อเป็นหลักประกันว่าประชาชนที่มีคุณสมบัติทุกคนจะมีสิทธิสมัครเข้ารับเลือกได้ตามมาตรา 107 วรรคหนึ่ง จึงได้บัญญัติคุ้มครองใว้ว่า "...ในการแบ่งกลุ่มต้องแบ่งในลักษณะที่ทำให้ประชาชนซึ่งมีสิทธิสมัครรับเลือกทุกคนสามารถอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้"
คำว่า "ความรู้" ที่บัญญัติในวรรคหนึ่งในมาตรานี้ มิได้หมายถึงความรู้ที่วัดได้ด้วยประกาศนียบัตรหรือปริญญาทั้งปวง แต่หมายถึงความรู้ที่บุคคลมีอยู่จริง ในด้านต่างๆ เช่น ความรู้ในการทำนา ความรู้ในการประมง หรือความรู้ในการเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
เมื่อพิจารณาแล้วพอจะคเนได้ว่า สิทธิการรับสมัคร เป็นคนละส่วนกับเอกสารสารรับสมัครเป็นเท็จ หรือ เอกสารสารประกอบการสมัคร (สว.3) เป็นเท็จ เช่น ในใบ สว. 3 บอกว่าทำนาเกลือ แต่ในความเป็นจริงเมื่อตรวจสอบแล้วไม่ได้ทำนาเกลือแต่อย่างใด ลักษณะนี้จะเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เป็นต้น
กรณี เอกสารรับสมัครด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ กกต. ต้องตรวจสอบผู้สมัครทุกรายทั้ง 4 หมื่นกว่าคน ถ้าพบว่ามาสมัครด้วยการการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ก็อาจเป็นความผิดตามมาตรา 74 รู้ว่าตนไม่มีสิทธิ แต่ก็มาสมัครรับเลือกตั้ง
และกรณีการรับจ้างสมัคร แม้เอกสารการรับสมัครถูกต้องสมบูรณ์ แต่ถ้ารับจ้างมาสมัครก็เป็นความผิดอีกกระทงหนึ่งด้วย