หมายเหตุ : “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ออกอากาศทางยูทูบ  Siamrathonline เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2567 ได้เปิดใจถึงภารกิจในการทำหน้าที่ “มท.1” ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา  รวมถึงแผนการทำงานในอนาคต เพื่อมุ่งบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

-การบริหารงานตลอด 9 เดือนที่ผ่านมากับภารกิจ

ห้วงเวลา 9 เดือนที่ผ่านมาถือว่าเร็วมาก ในการที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรมว.มหาดไทย  ในภาพรวมต้องขอขอบคุณข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ตอบสนองนโยบายของผมด้วยดีอย่างมาก มีนโยบายที่ได้รับการปฏิบัติแล้ว พี่น้องประชาชนได้รับความสะดวกสบาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี บำบัดทุกข์ บำรุงสุข และต้องเติมคำว่ามีความสมบูรณ์พูนสุขด้วย

ถามว่าเราพอใจหรือไม่ ในเรื่องของความร่วมมือที่ได้เพื่อนข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ต้องตอบว่าพอใจ เพราะทุกท่านได้ตอบสนองด้วยความทุ่มเท แต่หากถามว่าพอไหม ก็ต้องตอบว่ายังไม่พอ ยังมีอะไรอีกมากที่จะต้องทำ เนื่องจากงานของกระทรวงมหาดไทย ภายใต้แนวคิดบำบัดทุกข์ บำรุงสุข มันครอบจักรวาล  มันไม่มีทางทำให้คนทั้งประเทศ มีความสุขเท่ากันหมด หรือมีความทุกข์พร้อมกันทุกคน

แต่สิ่งที่เราต้องทำคือเมื่อเขามีความทุกข์แล้ว เราจะต้องไปปัดเป่า บรรเทาความทุกข์หรือสลายความทุกข์ให้เขา ในเวลาที่รวดเร็วที่สุด ตรงนี้ผมมั่นใจว่ากระทรวงมหาดไทย มีกลไก ที่พร้อมสรรพที่จะไปให้การดูแล พี่น้องประชาชน

-กระทรวงมหาดไทย ในยุคที่มีอนุทิน นั่งเป็นมท. 1

จริงๆแล้วเราต้องไม่ยึดติดกับตัวบุคคล วันนี้การที่ผมมาทำหน้าที่ ดำรงตำแหน่งเป็นรมว.มหาดไทย ผมคิดว่าผมมาด้วยนโยบายที่เราต้องการให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ต้องการทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนจะต้องเคารพกฎหมาย และปฏิบัติตามกฎหมายไม่มีการละเว้น ต้องปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเท่าเทียมและเสมอภาค เป็นธรรม ต้องการทำให้ทุกข์ของพี่น้องประชาชน ได้รับการปัดเป่า บรรเทาและบำบัด และต้องการทำให้ประชาชนมีความสุข เพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นการทำงานในกระทรวงมหาดไทย ในยุคที่ผมเป็นมท.1 ตลอดจนทีมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกทั้ง3ท่าน ซึ่งสิ่งที่เราอยากให้จดจำคือการทำงานที่มีความสามัคคี เอาประชาชนเป็นเป้าหมายใหญ่ ทำความเข้าใจร่วมกันว่าเรามีหน้าที่มารับใช้พี่น้องประชาชน ตลอดจนการทำงานอย่างถึงลูกถึงตคน ไม่มีสภาพความเป็นเจ้าขุนมูลนาย เหมือนกับที่หลายคนเคยเข้าใจกระทรวงมหาดไทยมาก่อน เราทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าหน้าที่ เข้าถึงประชาชนด้วยกัน เจ้าหน้าที่ไปทำงานที่ไหน เราก็ไปด้วยเพื่อยืนยันว่าเขามีคนที่พร้อมที่จะให้การสนับสนุน

เรายืนยันว่ารูปแบบนี้ ยังไม่เคยเกิดในกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะในช่วงนี้เรามีนโยบายชัดเจนในการทำสังคมให้เกิดระเบียบสูงสุด เราต้องการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ใช้อิทธิพลที่มีอยู่ในทางมิชอบ ในทางผิดกฎหมาย เช่นไปข่มเหง รังแกผู้ที่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่า  ไปฉ้อโกง เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เราได้ดำเนินนโยบายนี้มาค่อนข้างเห็นเป็นรูปธรรม

อย่างการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ที่กระทรวงมหาดไทยเดินหน้าทำงานอยู่ จะเห็นได้ว่ารัฐบาล ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เราดูแลผู้ที่มีความสุจริต แต่ไม่มีความสามารถในการใช้หนี้ ทางกระทรวงการคลังโดยการมอบนโยบายของนายกรัฐมนตรี ได้จัดเงินจากกองทุนธนาคาร อาทิ ธ.ก.ส. มารีไฟแนนซ์ให้กับลูกหนี้นอกระบบ ให้เข้ามาอยู่ในระบบให้มากที่สุด

ส่วนเจ้าหน้านี้นอกระบบที่ใช้ดอกเบี้ย ใช้เรื่องของการจำนอง จำนำ ขายฝาก กดขี่ข่มเหงชาวบ้าน คนพวกนี้จะถูกกฎหมายดำเนินการอย่างเฉียบขาด กระทรวงเราเดินแบบแพ็กคู่เลย ทั้งนายอำเภอ ผู้กำกับ สถานีตำรวจต่างๆ เข้าไปช่วยกันไกล่เกลี่ย ทำให้เกิดความเป็นธรรม ซึ่งประสบความสำเร็จมากพอสมควร

ในเรื่องของการปราบปรามผู้มีอิทธิพล จะเห็นได้ชัดว่า ไม่มีใครสามารถมีอิทธิพลเหนือกฎหมายบ้านเมืองไปได้

ในยุคที่ผมเป็นรัฐมนตรี หากพบว่าตรงไหนเกิดปัญหา เราก็จะลงไป รวมถึงรัฐมนตรีช่วยฯ ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายปกครองในการที่จะทำให้เขาเห็น และมั่นใจได้จะไม่มีอิทธิพลใดๆที่จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของเขาถูกจำกัดหรือทำให้เกิดอุปสรรค

- แผนงานต่อไปของกระทรวงมหาดไทย

กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข งานเราไม่มีวันจบ ตราบใดที่เราต้องรับผิดชอบ ดูแล ชีวิตพี่น้องประชาชนเกือบ 70  ล้านคน เราต้องทำให้สังคมมีระเบียบ กฎหมายมีความเป็นธรรมต่อทุกคน ดังนั้นถ้าทุกคนอยู่ในระเบียบ อยู่ในกรอบแห่งกฎหมาย ปฏิบัติตัวตามกฎหมาย สังคม ก็จะอยู่ได้ ส่วนความสุข ความทุกข์ เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล แต่เราต้องทำให้ เข้าถึงระบบการบริการภาครัฐ ทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม และเท่าเทียม เข้าถึงได้ง่าย

ด้วยเหตุนี้กระทรวงมหาดไทย จึงกำกับดูแลเรื่องไฟฟ้า น้ำประปา องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น  สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญในการดูแลคุณภาพชีวิต วันนี้ต้องบอกว่าความเจริญแทบขยายไปทุกพื้นที่แล้ว ทั้งถนน ทั้งไฟฟ้า หรือน้ำที่มาจากรูปแบบน้ำประปา น้ำบาดาล หรือน้ำจากโครงการต่างๆ น้ำต้องไปถึงประชาชน น้ำต้องดื่มได้ เพื่อลดต้นทุนให้กับชาวบ้าน  ตรงไหนที่ไฟฟ้าไปไม่ถึง เราก็ต้องใช้พลังงานแสงอาทิตย์ไปสู่ชุมชน ตรงนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบสาธารณูปโภค ที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้การดูแลประชาชน ในยุคที่ผมมาบริหาร

นอกจากนี้เรายังต้องดูเรื่องปัญหา “น้ำสูญเสีย” คือน้ำที่เข้าสู่ระบบไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีมูลค่าการสูญเสียนับพันล้านบาท ซึ่งเราต้องใช้วิธีการคิดมูลค่าในปัจจุบัน และเร่งลงทุนปรับปรุงพัฒนา คุณภาพการให้บริการประชาชน ทั้งน้ำและไฟฟ้าให้เข้าถึงประชาชน ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

-อยากฝากถึงประชาชน

ขอให้มั่นใจได้ว่าในรัฐบาลชุดนี้ และตัวผมเองในฐานะกำกับดูแล รับผิดชอบกระทรวงมหาดไทย จะทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ สังคมมีความเท่าเทียมกัน มีความเป็นธรรม  สังคมจะมีความเรียบร้อย บ้านเมืองที่มีกฎหมายที่เป็นธรรม  สังคมที่มีความเรียบร้อย การทำมาหากินจะสะดวกขึ้น  เมื่อบ้านเมืองมีกฎหมายที่มีความเป็นธรรม บ้านเมืองมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย จะทำให้คนเข้ามาลงทุน เข้ามาใช้จ่าย เข้ามาท่องเที่ยว นี่คือจุดแข็งของเรา แต่สิ่งที่ทำลายเรามาโดยตลอด คือการเอารัดเอาเปรียบ คนที่ทำมาหากินในประเทศ

แต่ในยุคนี้ จะเป็นอย่างนั้นไม่ได้อีก ดังนั้นเมื่อทุกอย่างมีความเท่าเทียม มีความเป็นธรรม  จะสามารถสร้างความเชื่อมั่น ให้คนทุกภาคส่วน ในยุคผมจะต้องไม่มีเรื่องของสิ่งเสพติด ของเถื่อนผิดกฎหมาย อาวุธปืนที่คนสามารถนำมาทำร้ายกันเอง ซึ่งในยุคนี้ใครจะพกปืนออกจากบ้าน โดยที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ จะมีโทษหนัก กฎหมายต้องป้องกันพวกท่านได้ แม้จะมีใบอนุญาต ก็ต้องมีความชัดเจน เราต้องใช้กฎหมายให้ความเฉียบขาด  ให้มีความรุนแรงต่อผู้ที่ตั้งใจกระทำผิด สิ่งเหล่านี้จะทำให้สังคมกลับเข้ามาสู่ความสงบสุขได้

การที่ผมลงพื้นที่ไปร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ของกระทรวงมหาดไทย ในการตรวจสถานบันเทิง ที่ผ่านมานั้น แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า มท.1 จะต้องลงพื้นที่ไปทำไม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผมต้องการลงไปเพื่อสร้างความมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ว่า ไม่มีใครจะมีเส้นสาย หรือใหญ่ไปกว่ามท.1 ดังนั้นเจ้าหน้าที่จะเกิดความมั่นใจ และเพื่อความถูกต้อง บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน และมันจะไม่มีวันเกิดเหตุการณ์ที่ว่าเจ้าหน้าที่จะถูกโยกย้ายโดยไม่ถูกต้อง เมื่อลงไปทำหน้าที่