นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวคืบหน้างานก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณชุมชนวังหลัง ข้างวัดระฆังโฆสิตาราม เขตบางกอกน้อย ว่า บริเวณนี้ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ปัญหาคือ ยังมีแนวป้องกันน้ำบางจุดเสียหาย (ฟันหลอ) ความยาวประมาณ 30 เมตร ทำให้น้ำทะลักเข้าชุมชน โดยเฉพาะช่วงน้ำขึ้น ไม่สามารถสูบออกได้ เพราะเมื่อสูบไปแล้วน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาไหลวนกลับเข้าจุดฟันหลอดังกล่าว และไหลเข้าท่วมบ้านเรือนใกล้เคียง ปัจจุบัน เจ้าของพื้นที่ (ร้านค้า) อนุญาตให้ กทม.เข้าไปปรับปรุงแล้ว โดยสำนักการระบายน้ำ ได้รับงบประมาณปี 2567 จำนวน 10,990,000 บาท ดำเนินการโดย ห้างหุ้นส่วนจำกัด แสงนิยม ระยะเวลาดำเนินการ 210 วัน ตามสัญญาเลขที่ สพน.สนน. 24/2567 ลงวันที่ 14 มิ.ย.67 เริ่มต้นสัญญา 15 มิ.ย.67 สิ้นสุดสัญญา 11 ธ.ค.67 ความคืบหน้า 11% คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ก.ย.นี้

 

นายวิศณุ กล่าวว่า ตามสัญญาจะแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.67 แต่จำเป็นต้องเร่งให้เสร็จเดือน ก.ย.นี้ เพื่อรับมือกับน้ำเหนือและน้ำหนุนในช่วงเดือน ต.ค. (ฤดูน้ำหนุน) ส่งผลให้แม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงขึ้น จากสถิติน้ำเคยท่วมสูงสุดประมาณ 2.43 เมตร สำนักการระบายน้ำจึงกำหนดการก่อสร้างตัวสันเขื่อนประมาณ +3 เมตร เพื่อป้องกันน้ำหนุน โดย กทม.ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพบ่อสูบน้ำบริเวณวัดระฆังโฆสิตาราม โรงพยาบาลศิริราช และชุมชนวังหลังเพิ่มเติม เพื่อการระบายน้ำคล่องตัวและรับมือปริมาณฝนในปีนี้ 

 

สำหรับแนวทางป้องกันน้ำท่วมจุดอื่น ๆ ของกรุงเทพมหานครในระยะยาว นายวิศณุ กล่าวว่า แบ่งเป็น 2 เรื่องหลักคือ 1.การพยากรณ์ล่วงหน้า โดย กทม.อยู่ระหว่างเพิ่มเรดาร์พยากรณ์ฝน ปัจจุบันเรดาร์ของ กทม.ส่วนใหญ่วัดระยะกลุ่มฝนในแนวกว้าง ทำให้เห็นภาพรวมของกลุ่มเมฆระยะไกลเท่านั้น จึงต้องเพิ่มเรดาร์ในแนวดิ่ง เพื่อให้เห็นกลุ่มฝนเฉพาะพื้นที่ด้วย เพื่อการพยากรณ์ที่แม่นยำขึ้น รวมถึงการใช้ AI มาช่วยพยากรณ์อากาศ สามารถนำภาพถ่ายความชื้นมาประกอบการพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ 3 ชั่วโมง

 

2.การจัดการหลังน้ำท่วม กทม.ได้รวบรวมจุดน้ำท่วมที่ได้รับการแจ้งจากประชาชนตั้งแต่ปี 2565 ปัจจุบันมีทั้งหมด 737 จุด แบ่งเป็น บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยามีการรั่วซึม 120 จุด บริเวณพื้นผิวถนนจากน้ำฝน 617 จุด หลักการจัดการคือ ลำเลียงน้ำจากผิวถนนลงท่อระบายน้ำ ก่อนไปถึงบ่อสูบน้ำเพื่อสูบน้ำลงคลอง และระบายลงแม่น้ำเจ้าพระยาในที่สุด โดยแต่ละขั้นตอน ต้องตรวจเช็กความคล่องตัวของระบบระบายน้ำแต่ละช่วง เช่น จัดการขยะอุดตันฝาท่อ ใช้นวัตกรรมฝาท่อและท่อระบายน้ำแบบใหม่ช่วยระบายน้ำได้เร็วขึ้น เพิ่มเครื่องสูบน้ำ การขุดลอกคลองโดยการใช้เทคโนโลยีสแกนหาจุดที่มีเนินตะกอนสูงก่อน เพื่อขุดลอกได้ตรงจุดเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังได้

 

"จากน้ำบนผิวถนนจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ต้องจัดการระบบระบายน้ำระหว่างทางให้ดี ไม่ให้มีอะไรกีดขวางทางน้ำ เพิ่มกำลังระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ กทม.เน้นใช้เทคโนโลยีทั้งหมด เช่น เครื่องสูบน้ำไฟฟ้า การใช้ระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดและควบคุมการทำงาน ทำให้การระบายน้ำมีประสิทธิภาพและทำได้รวดเร็วขึ้น" นายวิศณุ กล่าว