สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลายประเทศในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก กำลังเผชิญกับคลื่นอากาศร้อนอย่างรุนแรงในปีนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วรวมกันมากกว่า 1,000 คน

รายงานข่าวแจ้งว่า ในภูมิภาคเอเชีย ที่ประเทศอินเดีย ปรากฏว่า กำลังเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัดที่ยาวนานที่สุดในปีนี้เป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะที่กรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศ ที่ประชาชนต้องพำนักอาศัยท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงเกินกว่า 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลานานติดต่อกันถึง 38 วัน หรือนับตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.เป็นต้นมา พร้อมกันนี้ กระทรวงสาธารณสุขของอินเดีย แถลงว่า จากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 60 ราย และมีผู้ล้มป่วยอีกมากกว่า 25,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นลมแดด หรือฮีตสโตรก

ส่วนที่ซาอุดีอาระเบีย ต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัดวัดอุณหภูมิได้เกือบ 52 องศาเซลเซียส ในนครเมกกะ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประกอบพิธีฮัจญ์ประจำปี ส่งผลให้มีผู้แสวงบุญเสียชีวิตเพราะอากาศร้อนจัดจำนวนมากกว่า 1,000 คนด้วยกัน

ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ฉนวนกาซา ซึ่งนอกจากเผชิญกับการสงครามสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธฮามาสของปาเลสไตน์แล้ว ก็ยังประสบกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้เกิดการเน่าเสียของอาหาร แหล่งน้ำปนเปื้อนเชื้อโรค เกิดการแพร่ระบาดของยุง ทั้งนี้ จากแหล่งน้ำปนเปื้อนเชื้อโรคและอาหารเน่าเสียได้ง่าย ทำให้ประชาชนฉนวนกาซา ต้องล้มป่วยด้วยโรคท้องร่วงเพิ่มจำนวนขึ้นถึง 25 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีก่อน

ขณะที่ กลุ่มประเทศในภูมิภาคยุโรป ก็เผชิญกับคลื่นอากาศร้อนอย่างรุนแรง จนอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้น เช่น ที่ประเทศอิตาลี ที่ในพื้นที่ 8 เมือง รวมทั้งที่กรุงโรม เมืองหลวง ต้องประกาศแจ้งเตือนสภาพอากาศที่ร้อนจัดเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และคาดว่าอุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกินกว่า 40 องศาเซลเซียสด้วย

ส่วนที่ประเทศเม็กซิโก ก็ผจญกับสภาพอากาศร้อนจัด ส่งผลให้ในปีนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 160 คน ในจำนวนนี้เป็นการเสียชีวิตเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพียงสัปดาห์เดียว มากถึง 30 คนด้วยกัน และมีผู้ล้วมป่วยอีกกว่า 2,500 คน