คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

เหลือเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ก็จะถึงเวลาเผชิญหน้าปทะทะคารมที่จะเกิดขึ้นระหว่าง “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”กับ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” โดยจะจัดขึ้นที่ สตูดิโอซีเอ็นเอ็น  ณ เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย วันที่ 27 มิถุนายน 2024 เวลา 21.00 (หรือวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน 2024 ในประเทศไทย)

โดยขณะนี้ทั้งคู่กำลังเตรียมตัวฝึกซ้อมใหญ่ เพื่อหวังจะน็อคคู่ต่อสู้!!!

ในการดีเบตครั้งนี้จะมีพิธีกรผู้ดำเนินรายการ 2 คน นั่นก็คือ “เจ็ค แท็ปเปอร์.”และ “ดานา บาส”  ซึ่งทั้งคู่ต่างก็มีความเชี่ยวชาญด้านดำเนินการดีเบตแบบหาตัวจับยากกันทั้งสองคน

โดย เจ็ค แท็ปเปอร์ มีความเก่งกาจทั้งทางด้านประสบการณ์และความรู้ความสามารถเฉพาะตัว

โดยเขาจบการศึกษาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ด้านประวัติศาสตร์สหรัฐฯ จาก “วิทยาลัย Dartmouth” ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ  อีกทั้งเขายังเป็นนักวาดภาพการ์ตูนที่มีความเก่งกาจ แถมยังเป็นนักเขียนเรืองนามของสหรัฐฯ ที่มีผลงานการเขียนหนังสือยอดนิยมฮิตติดตลาดมากมายหลายเล่ม และยังเป็นนักข่าวระดับแนวหน้าในวงการสื่อสารอเมริกัน อีกทั้งในทุกๆวันเขายังรับหน้าที่เป็นนักจัดรายการนำเสนอและวิเคราะห์ข่าวทั้งในและต่างประเทศ ในรายการที่ได้รับความนิยมชื่อว่า “The Lead” ของสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็น

การรับหน้าที่ผู้ดำเนินการดีเบตของ เจค แท็ปเปอร์ มิได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะที่ผ่านๆมาเขาเคยทำหน้าที่ดำเนินการดีเบตให้กับสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นมาแล้วหลายๆครั้ง

ส่วนเพื่อนผู้ร่วมดำเนินรายการดีเบตกับเจ็ค แท็ปเปอร์ ก็คือ ดานา บาส ผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็น ที่เธอก็ได้รับความนิยมอย่างยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน อีกทั้งเธอยังเป็นนักเขียนที่มีเชื้อสายยิวเช่นเดียวกันกับ เจ็ค แท็ปเปอร์  โดยเธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทางด้านสาขาการสื่อสารมวลชนทางการเมืองจาก “มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน” โดยเธอมีประสบการณ์หลากหลายจากสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ อาทิ  สถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีซี , สถานีโทรทัศน์ช่องซีบีเอส และขณะนี้เธอรับหน้าที่ประจำอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2018 เลยทีเดียว!!!

จะเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า ผู้ดำเนินรายการดีเบตโต้วาทีปะทะฝีปากทั้งสองท่านนี้ มีประสบการณ์สูงแบบหาตัวจับยาก และล่าสุดนี้ทั้งคู่ก็เคยร่วมทีมดำเนินการดีเบตระหว่าง “ผู้ว่าฯรอน เดอร์แซนติส” กับ “อดีตผู้ว่าฯนิกกี เฮลลีย์” เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2024 มาแล้วเช่นกัน โดยขณะนี้ทั้งสองต่างฟิตตัวอย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเอื้ออำนวยผลประโยชน์มอบความรู้และมอบเนื้อหาในการโต้วาทีในครั้งนี้ให้แก่ชาวอเมริกันผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง

การดีเบตจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง และจะมีการพักโฆษณาสองครั้ง การดีเบิตครั้งแรกนี้จะไม่มีคำกล่าวเปิดงาน แต่จะอนุญาตให้ทั้งสองฝ่ายกล่าวปิดท้ายกันคนละสองนาทีในลักษณะเสนอวิสัยทัศน์

สำหรับไมโครโฟนของทั้งสองผู้แข่งขันจะถูกปิดเสียงตลอดรายการ ยกเว้นก็แต่เมื่อถึงคราวที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้รับโอกาสให้เป็นผู้พูด ฉะนั้นโอกาสที่ฝ่ายหนึ่งจะพูดขัดจังหวะคงจะไม่มีเกิดขึ้นเหมือนกับครั้งที่ผ่านๆมา

ในการโต้วาทีครั้งนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จะได้รับปากกา กระดาษจด และน้ำดื่มกันคนละหนึ่งขวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นที่ใช้ดำเนินรายการในครั้งนี้จะไม่มีผู้เข้าชมแต่อย่างใด

สำหรับจุดยืนสำคัญที่จะนำมาเป็นอาวุธประหัตประหารต่อกัน โดยฝ่ายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน คงจะไม่พ้นการโจมตีในเรื่องที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นบุคคลอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็คงจะชูธงกล่าวหาประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในเรื่องที่ว่าเป็นคนชราไร้สมรรถภาพและในเรื่องการทุจริต

เนื่องจากการดีเบตมีเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ดังนั้นประเด็นหลักใหญ่คงจะมีหัวข้อสำคัญๆในวงจำกัด ซึ่งผมขอคาดการณ์ในประเด็นร้อนๆดังนี้

อันดับแรกหากว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้รับโอกาสเป็นผู้ที่เปิดประเด็นถูกถามก่อน เป็นที่คาดการณ์กันว่า เขาคงจะหยิบยกเอาเรื่องคดีอาญา 34 กระทง ที่คณะลูกขุน 12 คน ลงมติแบบเป็นเอกฉันท์ โดยเขาอาจจะกล่าวว่า ขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นนักโทษคดีอาญาแล้ว

แต่หากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับโอกาสเป็นผู้ถามก่อนก็น่าจะเป็นกรณีของ “ฮันเตอร์ ไบเดน”ลูกชายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ถูกตัดสินโดยคณะลูกขุนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในเรื่องการใช้ยาเสพติด และกล่าวเท็จเพื่อซื้ออาวุธปืนอย่างผิดกฎหมาย

อนึ่งคดีลูกชายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากข้อมูลของสื่อมวลชนเปิดเผยออกมาว่าประธานาธิบดีไบเดน มิได้มีส่วนรู้เห็น และจากผลการสำรวจของบรรดาสำนักหยั่งเสียงยังปรากฎอีกด้วยว่า ในเรื่องนี้ชาวอเมริกันมิได้ติดใจสงสัยว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีส่วนรู้เห็นแต่อย่างใด

แต่คงหนีไม่พ้นที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์คงจะนำเรื่องเหล่านี้เอามากล่าวโจมตีในทำนองที่ว่า ครอบครัวของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทุจริตและคอร์รัปชั่น เพื่อต้องการจะนำมาปิดบังความผิดของตนนั่นเอง

ส่วนประเด็นเรื่องอายุอานามของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานาธิบดีทรัมป์ ก็คงจะถูกนำมาปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากกำลังเป็นประเด็นร้อนที่ชาวอเมริกันต่างก็ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ

โดยขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีอายุ 81 ปีส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็มีอายุ 78 ปี

อย่างไรก็ตามประเด็นเรื่องเศรษฐกิจที่ได้กลายเป็นประเด็นร้อนอันดับหนึ่ง ที่ชาวอเมริกันมีความกังวล ก็คงจะถูกยกขึ้นมาถกเถียงกันอย่างเข้มข้นด้วยเช่นกัน

และยังเป็นที่แน่นอนอีกว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ คงจะพยายามโอ้อวดว่า ผลงานของเขามีความสำเร็จมากกว่า ทั้งๆที่ผลงานของเขาที่ผ่านๆมาตรงกันข้าม

ในประเด็นนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน คงจะยกตัวอย่างมาปกป้องข้อกล่าวหาได้ไม่ยากเท่าใดนัก แต่เนื่องจากนิสัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นสุภาพบุรุษไม่ชอบยกตนข่มท่าน เขาจึงไม่ชอบโอ้อวดผลงาน แต่ปล่อยให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์ตัวของมันเอง ตรงกันข้ามกับนิสัยส่วนตัวของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่ชอบโม้โอ้อวด ยกตัวเกินขอบเขตที่อาจเป็นจุดที่เขาจะโดนสอนมวย

ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับคดีล้มล้างการเลือกตั้ง ก็น่าจะเป็นประเด็นร้อนที่ถูกนำขึ้นมาถกเถียงกันอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นประเด็นที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน คงจะนำมาโยงเข้ากับการเป็นบุคคลอันตรายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ทำลายกระบวนการยุติธรรม แต่ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์คงจะโต้แย้งว่าตนมิได้มีส่วนใดๆทั้งสิ้น

ส่วนประเด็นเรื่องปัญหาโรบินฮูดที่พำนักอยู่ในสหรัฐฯขณะนี้กว่า 1.1 ล้านคน ก็คงจะเป็นประเด็นร้อนด้วยเช่นกัน โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนพยายามเปิดโอกาสให้โรบินฮูดที่อยู่อย่างผิดกฎหมายได้รับโอกาสอยู่ในสหรัฐฯอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะชาวโรบินฮูดที่เข้าสหรัฐฯติดตามพ่อแม่มาแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่ในทางกลับกันประธานาธิบดีทรัมป์คงจะพยายามเนรเทศให้บรรดาโรบินฮูดเหล่านั้นกลับภูมิลำเนาเดิม

ด้านต่างประเทศก็เป็นแน่นอนว่า คงจะเป็นเรื่องการยุติสงครามยูเครน และสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส

ในกรณีสงครามยูเครนนั้นเป็นที่แน่นอนว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ คงจะออกมาชูธงในทำนองที่ว่า หากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง เขาจะสามารถดำเนินการในเรื่องสงครามยูเครนให้จบแบบครบกระบวนความได้ภายในหนึ่งวัน แต่กลับปรากฏว่าประธานาธิบดีปูตินได้กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ความคิดของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี

อย่างไรก็ตามยังมีความเป็นไปได้ที่ “โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี” ผู้สมัครอิสระ อาจจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมอภิปรายกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ ประธานาธิบดีทรัมป์ ในครั้งนี้ และหากเกิดขึ้นจริงๆก็ย่อมทำให้ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้คุณสมบัติของโรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จะต้องได้รับการสนับสนุนอย่างน้อย 15% โดยขณะนี้เขาได้รับการสนับสนุนแล้วสามสำนัก

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้น เนื่องจากชาวอเมริกันมีความอยากรู้ถึงวิสัยทัศน์ของทั้งสองผู้นำว่า จะนำพาประเทศไปในทิศทางใด ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”คงจะเสนอโครงการปฏิรูปข้าราชการประจำราวสามล้านคนแบบถอนรากถอนโคน (Project 2025 ซึ่งมีความยาวร่วมหนึ่งพันหน้า) โดยเขาคงต้องการที่จะขับไล่ผู้ไม่จงรักภักดีต่อเขาออกไป แถมเขายังต้องการที่จะกำจัดและเนรเทศผู้ที่อยู่อาศัยแบบผิดกฎหมายในสหรัฐฯให้กระเด็นออกนอกประเทศอย่างฉับพลัน ที่ช่างตรงกันข้ามกับนโยบายของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ที่กำลังดำเนินและจัดมาตราการรองรับเอาไว้ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาละครับ