"บิ๊กเต่า" ยัน "เสี่ย จ." สั่งการผ่านลูกน้องคนสนิทบงการลักเรือน้ำมันเถื่อน ส่วนแชทหลุดของผู้กำกับเชื่อว่าเป็นของจริง เตรียมเรียกสอบปากคำแล้ว
วันที่ 19 มิ.ย.67 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เปิดเผยความคืบหน้าคดีลักเรือน้ำมันเถื่อนว่า กรณีที่สื่อมวลชนสงสัยว่า นายเล็กคือใครและมีตัวตนจริงหรือไม่นั้น ต้องขอเรียนว่านายเล็กมีตัวตนจริง ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเสี่ยโจ้ ปัตตานี เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา นายเล็กพยายามเข้าหาเจ้าหน้าที่ เพื่อขอความช่วยเหลือแต่ถูกปฏิเสธไป จากการตรวจสอบเชื่อว่านายเล็กมีความเชื่อมโยงกับเหตุเรือหายครั้งนี้ และยังเป็นเจ้าของเงินที่ใช้มาประกันตัวลูกเรือทั้ง 28 คนด้วย และน่าจะรับคำสั่งมาจากเสี่ยโจ้อีกด้วย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนการสอบปากคำลูกเรือทั้ง 8 คนทราบว่าเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะไต้ก๋งเรือที่เหมือนกับเป็นแสงสว่างเปิดทางให้กับเจ้าหน้าที่ จนสามารถรู้เบื้องหลังว่าคดีที่มาอย่างไร ทำให้รูปคดีมีความชัดเจนมากขึ้น
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวอีกว่า การลักเรือของกลางทั้ง 3 ลำ ถือเป็นการตบหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างแรง ดังนั้นจึงต้องดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเด็ดขาด ร่วมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็ ต้องรับสิ่งที่ตามมาให้ได้ ก่อนหน้านี้มีความสุขสบายนั่งอยู่บนกองเงินกองทองก็ไม่ว่ากัน แต่เมื่อถึงเวลารับกรรมต้องยอมรับสภาพให้ได้ เพราะเมื่อวานจากการสอบปากคำไต้ก๋งเรือทั้ง 3 ลำทำให้เราได้ความเชื่อมโยงจากคดีแรกในการจับกุมน้ำมันเถื่อนเมื่อวันที่ 19 มี.ค.กับคดีเรือหาย มีความเป็นมาอย่างไร หลังจากนี้จะหารือกับอัยการถึงมาตรการดำเนินการหลังจากนี้ต่อไป
“พื้นที่ทางทะเลถือเป็นแดนสนธยา ที่มีผลประโยชน์อย่างมากมายจนการตรวจสอบเข้าไม่ถึง เพราะเจ้าหน้าที่มีไม่เพียงพอ เรื่องบนบกเราอาจสามารถตรวจสอบได้มากกว่า แต่ทางทะเลจึงเป็นแดนสนธยาที่มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง มีบุคคลที่เข้าไปรับผลประโยชน์มากมาย“ รองผบช.ก.กล่าว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีแชทไลน์เสี่ยโจ้กับตำรวจบางนายหลุดไปยังสื่อมวลชน จากการตรวจสอบพบเป็นแชทไลน์จริง แต่ขอเวลาให้ทำงานก่อนก็จะมีความชัดเจนอย่างแน่นอน พร้อมตรียมเรียกตัวสอบปากคำในประเด็น ผกก.คนดังกล่าวกแล้ว
พร้อมกันนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังยกมือไหว้ขอร้องให้สื่อมวลชนโดยเฉพาะสื่อบางสำนักให้นำเสนอข่าวตามความเป็นจริงตามที่ตำรวจให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่ นำเสนอบางประเด็น ขยี้เสียจนประชาชนหรือสังคมเกิดความสงสัยและตีความไปอย่างเสียหาย โดยอยากขอร้องว่าให้นำคดีบ้านกกกอกมาเป็นบทเรียน ที่สื่อมวลชนบางสำนักทำให้ผู้ร้ายกลายเป็นฮีโร่เป็นพระเอกมีฐานะร่ำรวยขึ้นมาภายในเพียงไม่กี่เดือน แต่สุดท้ายในที่สุดก็ต้องถูกดำเนินคดีเพราะหนีความจริงไปไม่พ้น
ด้านพ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผกก.2 บก.ปอศ. กล่าวถึงกรณีที่มีความเห็นจากพนักงานอัยการสูงสุดว่าการดำเนินคดียึดเรือน้ำมันเถื่อนของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. อาจทำได้ยาก เพราะพื้นที่จับกุมอยู่นอกราชอาณาจักร อยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ จากกรณีดังกล่าวขอยืนยันว่า จุดที่จับกุมเป็นพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ อยู่ห่างออกจากเส้นฐาน 80ไมล์ทะเล หากอยู่อยู่ในพื้นที่น่านน้ำไทยจะห่างเพียง 12 ไมล์ทะเล ทำให้คดีนี้ถือเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพราะฉะนั้นอำนาจในการสอบสวนดำเนินคดีจะเป็นของพนักงานอัยการสูงสุด โดยมีตำรวจเข้าไปสอบสวนร่วมด้วย
พ.ต.อ.ชัชวาล กล่าวอีกว่า สำหรับคดีดังกล่าวมีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงว่ามีขบวนการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน โดยใช้ช่องว่างทางกฎหมายในพื้นที่นอกราชอาณาจักร จึงแจ้งไปทางศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปมน.ตร. ให้ทราบ ก่อนที่จะมีคำสั่งให้กองบัญชาการสอบสวนกลาง ทั้ง บก.ปอศ. รวมถึงตำรวจน้ำ และตำรวจกองปราบช่วยกันสืบสวนดำเนินคดีจนมีการจับกุมวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา เบื้องต้นพบการกระทำความผิด 2 จุด ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะ จุดแรกประกอบด้วยเรือ เจพี โชคบุญชู และกำไลเงินเหล็ก พบน้ำมันเถื่อนในเรือเจพี มีเรืออีกสองลำขนาบข้าง ส่วนจุดที่ 2 เจอในเรือดาวรุ่ง และ ซีฮอต เมื่อสอบถามถึงที่มาของน้ำมันเถื่อน กลับไม่ได้รับคำตอบ แต่พบว่า 3ลำ ใน5ลำ คือ เจพี ดาวรุ่งและซีฮอต มีผู้สั่งการคนเดียวกัน ทราบภายหลังว่าคือนายเล็ก แต่ยังไม่มีข้อมูลชื่อจริงและรายละเอียดที่ชัดเจน ซึ่งบุคคลนี้ก็เป็นคนที่บงการให้ลูกเรือลักเรือหลบหนี ส่วนเรือที่เหลือ 2 ลำก็มีผู้สั่งการอีกกลุ่มหนึ่ง
พ.ต.อ.ชัชวาล กล่าวอีกว่า ทั้งนี้มีข้อมูลจากผู้กล่าวหา ซึ่งเป็นชุดสืบสวนคดีน้ำมันเถื่อน ที่เคยจับกุมน้ำมันเถื่อนมาก่อนหน้านี้สองครั้ง ผู้ต้องหาในคดีนั้นให้การว่าซื้อน้ำมันเถื่อนมาจากจุดซื้อขายในพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ เมื่อไปตรวจสอบก็พบการกระทำความผิด ทำให้มั่นใจว่าการสืบสวนจะมีหลักฐานเข้ามาประกอบในสำนวนค่อนข้างชัดเจน จึงไปปรึกษากับอัยการที่แนะนำให้ไปสอบปากคำหน่วยงานที่เกึ่ยวข้องเพิ่มเติมเท่านั้น นั่นหมายความว่าตอนนี้ข้อมูลค่อนข้างจะสมบูรณ์ระดับนึงแล้ว คาดว่าสำนวนจะแล้วเสร็จภายในหกเดือน
พ.ต.อ.ชัชวาล กล่าวอีกด้วยว่า สำหรับเรือน้ำมันเถื่อน 5 ลำ ที่จับกุมได้ มีเพียง 1 ลำที่เป็นเรือไทยมีทะเบียนถูกต้อง ส่วนอีก 4 ลำนั้นเป็นเรือเถื่อนทั้งหมด แบ่งเป็น เรือโชคบุญชูเป็นเรือไทย มีทะเบียนรู้ตัวเจ้าของ ส่วนเรือกำไลเงินเหล็ก และเรือเจพี มีข้อมูลว่าขายให้คนมาเลเซียไปพร้อมๆกัน เมื่อมีการขายให้ชาวต่างชาติจึงเพิกถอนทะเบียน จากข้อมูลพบว่าชาวมาเลย์คนนี้ออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ส่วนเรือดาวรุ่งและซีฮอต เป็นเรือเถื่อนไม่มีทะเบียน ไม่ปรากฏชื่อว่าเป็นของใคร แต่ในทางสืบสวนพอจะรู้ตัวเจ้าของแล้ว เพราะก่อนหน้าเคยเรียกเจ้าของเรือที่มีทะเบียน รวมถึงกลุ่มคนที่ครอบครองเรือเถื่อนมาสอบปากคำแต่ไม่มีใครมา ทำให้คาดว่ากลุ่มนี้เป็นขบวนการเดียวกันทั้งหมด