วันที่ 19 มิ.ย.67  ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด    ผู้สมัคร สว. สมุทรสาคร   กลุ่มที่ 17 เข้ายื่นคำร้องพยานหลักฐานการฮั้วลงคะแนนเลือก  สว. ในจังหวัดสมุทรสาคร

โดยนายษิทรา เปิดเผยว่า กว่าจะได้รับเลือกเข้ามาไม่ใช่เรื่องง่าย    เพราะทุกกลุ่มอาชีพจะมีคนของพรรคการเมืองไปลงสมัครในทุกกลุ่ม การที่ตนลงสมัครโดยที่ไม่ได้สังกัดใคร   เมื่อไปขอคะแนนเขาก็จะปฏิเสธว่าไม่ได้  เพราะเขาต้องเลือกตามโพย  ซึ่งได้พบกับคนที่ถูกจัดตั้งมา โดยสมัครในกลุ่ม 5 อธิบายให้ฟังถึงโพย ว่าต้องลงเลือกอะไรบ้าง  สมมติว่ากลุ่ม 1 หมายเลข 2 ลงในรอบบ่าย  เขาก็จะเลือกลำดับถัดไป ซึ่งเขาจะมีตัวแทนของเขาหมด แล้วพวกนี้คะแนนจะโดดกว่ากลุ่มอื่น    ซึ่งคนที่มีชื่ออยู่ในโพยของสมุทรสาครได้รับเลือกเข้ามาทั้งหมด   การลงสมัครครั้งนี้ตนพยายามที่จะพูดคุยกับคนที่ถูกจัดตั้ง   และคนที่ไม่ได้ถูกจัดตั้งเพื่อขอคะแนน    จนทำให้ในวันเลือกระดับจังหวัด    ตนได้รับคะแนนจากทั้ง 2 กลุ่ม    วันนี้จึงนำหลักฐานมายื่นต่อกกต.ว่ามีการฮั้วอย่างไรบ้าง  แล้วก็จะมีการเอาพยานเข้ามาให้ถ้อยคำ

"เท่าที่สอบถามจากกลุ่มจัดตั้ง  บอกว่ามีนักการเมืองในจังหวัดสมุทรสาครชื่อ  อักษรย่อ ป.  จะเป็นคนสั่งให้ทุกอำเภอ หาคนมาลงสมัครทุกกลุ่มอาชีพ   ยังดีที่ในสมุทรสาครกลุ่มของเขาเข้ามาได้แค่มากกว่าครึ่งนิดหน่อยเท่านั้นเอง  แต่พรรคนี้ทำทั้งประเทศ  กรุงเทพฯอาจจะยากหน่อย แต่เขาจะเน้นในจังหวัดเล็กๆที่มีอำเภอไม่ถึง 10 อำเภอ    อย่างภาคอีสานบางจังหวัดเขาได้ยกจังหวัด" นายษิทรา กล่าว

นายษิทรา ยังอธิบายถึงการฮั้วที่เกิดขึ้นในจังหวัดสมุทรสาคร    ว่า คนที่เล่าให้ฟังระบุว่ามีการจ่ายเป็นค่าจ้าง   โดยในวันสมัครจะมีการออกค่าสมัครค่าถ่ายรูปใบรับรองแพทย์ และในวันที่ไปเลือกระดับอำเภอก็จะได้เงินสดจำนวน 5,000 บาทก่อนไปเลือก และอีก 5,000 บาท จะได้หลังจากที่เขียนหมายเลขแล้วไม่ผิดเลย    แต่ถ้าเขียนผิดจะไม่ได้เงิน 5,000 หลังนี้    เมื่อเข้าสู่รอบระดับจังหวัดก่อนไปก็จะได้ค่าน้ำมัน 5,000 บาท    และถ้าเขียนหมายเลขครบถูกต้องก็จะได้อีก 5,000 บาท    และเท่าที่ทราบขณะนี้ค่าตัวก็เพิ่มขึ้นในระดับประเทศ   ค่าใช้จ่ายที่จะมาก็เยอะขึ้น    ซึ่งถ้าจังหวัดไหนมีข้อมูลก็สามารถส่งมาได้ที่ กกต.อย่างในจังหวัดนครราชสีมาก็มีการส่งข้อมูลมาให้กับตน    แล้ววันนี้ตนได้นำข้อมูลของจังหวัดสมุทรสาคร    ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นโพย   แชทไลน์ที่นักการเมืองอักษรย่อ ป. มีการพูดคุยสื่อสาร   ที่มีการเขียนว่าให้ลงหมายเลขใดบ้าง  ซึ่งเมื่อกกต.มีการสอบก็จะเอาพยานบุคคล   ซึ่งเป็นทั้งผู้ได้รับเลือกเป็น  สว.ระดับจังหวัด และผู้ที่สอบตกมาให้ข้อมูลเพื่อโยงไปถึงนักการเมือง ป.

นายษิทรา กล่าวอีกว่า การที่ กกต.แจกเอกสารแนะนำตัวผู้สมัครให้กับผู้สมัครในวันเลือกระดับประเทศ   ไม่สามารถทำให้ผู้สมัครศึกษาข้อมูลได้ทัน เมื่อลงคะแนนแล้วคะแนนก็จะกระจายไม่สามารถสู้กับผู้สมัครที่มีคะแนนจัดตั้งมาได้   เพราะพรรคการเมืองเขามีคะแนนจัดตั้งมาจากหลายจังหวัด    แล้วถ้าเราไม่สู้เราก็จะแพ้คะแนนแน่   ดังนั้นเมื่อ  กกต.ไม่ทำหน้าที่จัดให้ผู้สมัครได้เจอกัน ตนก็จะจัดเอง ใครที่ต้องการร่วมอุดมการณ์เดียวกับตนสู้กับพวกจัดตั้ง    ให้แอดไลน์มาที่ @Sittra เพื่อที่จะได้นัดพบกัน    และมั่นใจว่าการรวมตัวไม่ผิดกฎหมายเพราะเราไม่ได้ไปจ้างมาหรือจัดเลี้ยง    แต่เป็นการรวมตัวเพื่อพูดคุย เพื่อที่จะได้รู้ถึงประวัติของแต่ละคน

"วันนี้ผมไม่ได้ขอคะแนนอะไร   แต่อยากช่วยหลายๆคนที่เป็นคนเก่ง คนดี   ที่ไม่ได้สื่อรู้จัก ไม่ได้มีคนรู้จัก   ผมอยากจะชนะกับกลุ่มจัดตั้ง  ผมหมั่นไส้ตั้งแต่ที่สมุทรสาครแล้ว    อยากจะไปถอนยันราก   จึงมาร้องเพราะคนที่ทำแบบนี้    จ้างคนมาลงสมัครมันมีโทษจำคุก 10 ปี    และผมมาร้องก็ไม่ใช่เพราะผมกลัวจะแพ้ในการเลือกสว.รอบประเทศ    

แต่ข้อเท็จจริงผมได้เปรียบกว่าคนอื่น   เนื่องจากมีคนรู้จักอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องทำให้คนมาเจอกันเลย เพราะถ้ามาเจอโอกาสที่จะเลือกผมก็น้อย ถ้าผมเห็นแก่ตัว สู้ทำให้เขาไม่รู้จักกัน รู้จักผมคนเดียวพอ  ไม่ดีกว่าหรือ  แต่อันนี้ไม่ใช่ผมต้องการทำให้เฉพาะกลุ่มผมกลุ่มเดียว    แต่ต้องการทำทุกกลุ่ม อย่างที่สมุทรสาคร    ผมลงกับเพื่อนสามารถเข้ารอบกันมาได้ 5 กลุ่ม    ถ้าเราไม่รวมพลังกันเราจะแพ้จัดตั้ง เดี๋ยวถึงเวลาจะบอกว่าต้องทำอย่างไร "  นายษิทรา กล่าว

นายษิทรา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันพรุ่งนี้ (20 ต.ค.) จะรอฟังผลการสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง   เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่าง   พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) โดยจะนัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง