วันที่ 19 มิ.ย.2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ โดยมีนายมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เป็นจำนวน 272,700 ล้านบาท วาระแรก 

ต่อมาเวลา 10.00น. นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ลุกขึ้นอภิปรายต่อจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีว่า การจัดสรรงบฯปี68 ของรัฐบาลน่าผิดหวัง แบบหมดหวัง เพราะคงการจัดสรรงบประมาณแบบเดิมๆเพิ่มเติมคือดิจิทัลวอลเล็ต จัดสรรงบฯมียุทธศาสตร์เป็นคำพูดสวยหรูเต็มไปหมด ทั้งนี้พบมีโครงการในงบประมาณ163 โครงการ แต่ไม่มีอะไรใหม่ พอลงรายละเอียดแล้วซ้ำซ้อน เบี้ยหัวแตก มองไม่เห็นรูปธรรมจับต้องได้ ใช้งบฯแบบไม่สนใจผลลัพธ์ในทางปฏิบัติ เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่

งบฯจำนวนมากไม่มีการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ไปยึดโยงกลุ่มทุนผลประโยชน์ ที่ผลักดันรัฐบาลให้เข้าสู่อำนาจ เป็นการตอกย้ำการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า ตั้งแต่งบฯปี67 ถึงปี 68 ไม่มีวาระทางยุทธศาสตร์ว่าจะทำอะไรกันแน่ แต่ละกระทรวงต่างคนต่างอยู่ในอาณาจักรตัวเอง ต่างคนต่างทำ ผู้นำรัฐบาลถนัดมีข้อสั่งการมากมาย แต่มีแนวทางปฏิบัติจริงๆหรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร เพราะวิธีการจัดสรรงบฯ เป็นลักษณะนายสั่งแต่ไม่บอกว่าทำอะไร ข้าราชการก็จัดให้ เป็นโครงการเดิมๆแต่แปะป้ายใหม่ แล้วสรุปโครงการแบบสวยหรูว่าตอบสนองนโยบายใหม่ของรัฐบาลแล้ว

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า แต่หากจะมีอะไรใหม่ของรัฐบาลที่สะท้อนผ่านร่างพ.ร.บ.งบฯปี68 ก็คือความพยายามผลักดันแบบดันทุรังในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตให้สำเร็จ แต่ดันทุรังแบบเจ๊งไม่ว่าแต่เสียหน้าไม่ได้ ซึ่งงบฯดังกล่าวไปอยู่ในงบฯกลางกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน1.57แสนล้านบาท คิดเป็น18.9เปอร์เซ็นต์ของงบฯกลางทั้งหมด ส่วนงบฯที่กันไว้สำหรับร่างพ.ร.บ.งบฯปี68ไม่เพียงพอ มีการคาดการณ์ว่าจะใช้งบฯจากธนาคารเพื่อเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) จำนวน1.72แสนล้านบาท และน่าจะมีการของบฯกลางปี67อีกเพิ่มจำนวน1.22แสนล้านบาท หากไม่พอ รัฐบาลอาจออกพ.ร.บ.โอนงบประมาณจากงบฯสำรองรายจ่ายฉุกเฉินหรือจำเป็นมาใส่เพิ่มอีกได้



“ผลของการพยายามจัดสรรงบฯมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น เสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาทางการคลัง ทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว ภาระการจ่ายหนี้ภาครัฐจะสูงขึ้น เราจะสูญเสียพื้นที่ทางการคลัง หากเราจำเป็นต้องมีการใช้จ่ายฉุกเฉินจริงๆหรือมีการลงทุนภาครัฐขนาดใหญ่ในอนาคต ในเมื่อรู้ว่าเสี่ยงขนาดนี้ แต่ทำไมงบฯปี68จึงมีลักษณะเจ๊งไม่ว่าแต่เสียหน้าไม่ได้ คำตอบคือรัฐบาลชุดนี้ประสบปัญหาวิกฤตทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล พอเข้ามาบริหารประเทศจนถึงวันนี้ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศและปากท้องของประชาชนได้ดีขึ้น

ดังนั้นพรรคแกนนำรัฐบาลจึงเหลือความหวังเดียว คือหากผลักดันนโยบายเรือธงดิจิทัลวอลเล็ตนี้ได้สำเร็จ ความชอบธรรมของรัฐบาลจะฟื้นคืนมา ในสภาวะที่ข้าวยากหมากแพงแบบนี้ เศรษฐกิจฝืดเคือง ประชาชนจึงมีความหวังจะได้รับเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ตมาประทังชีวิต แต่ผมคิดว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน เราไม่ต้องการรัฐบาลที่จะมุ่งแสวงหาความนิยมจากประชาชนแบบมักง่าย สายตาสั้นแบบนี้ แต่เราต้องการรัฐบาลที่มีเจตจำนงค์ในการผลักดันนโยบายที่ดีที่สุด ตอบโจทย์ประเทศมากที่สุด ไม่ใช่ตอบโจทย์ทางการเมืองของพรรคแกนนำรัฐบาล” ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า หากสุดท้ายดิจิทัลวอลเล็ตที่รัฐบาลกำลังดันทุรังขณะนี้ ไม่ตอบโจทย์ประเทศจริงๆ การจัดสรรงบฯปี68 จะเป็นการจัดสรรงบฯที่ไม่ได้เอาโจทย์ประเทศเป็นตัวตั้ง แต่เอาโจทย์ของพรรคแกนนำรัฐบาลเป็นตัวตั้งโดยรัฐบาลกำลังมุ่งแก้วิกฤตทางการเมืองของตนเอง โดยเอาโอกาส และอนาคตประเทศวางเป็นเดิมพัน ในแบบที่เจ๊งไม่ว่า แต่ต้องรักษาหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลไว้ให้ได้ จึงยืนยันได้ว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นโครงการฉาบฉวยเพื่อหาเสียงเฉพาะหน้า

เราเห็นโครงการนี้แบบคิดไปทำไป กลับไปกลับมา จนถึงวันนี้ก็ไม่มีความชัดเจนแน่นอน แต่พรรคแกนนำรัฐบาลก็โหมว่าโครงการดังกล่าวจะกระจายเม็ดเงินลงสู่พื้นต่างทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นการบริโภคให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจตามที่นายกรัฐมนตรีแถลงไป แต่แนวคิดดังกล่าวอาจใช้ได้กับประเทศไทยเมื่อ20ปีที่แล้วการอัดเงินแบบระยะสั้น มันจึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่นำไปสู่การกระตุ้นการผลิตการจ้างงานอีกแล้วเพราะเราจะเจอปัญหาช่องทางเงินไหลออกเป็นหลุมดำ2หลุม ที่คอยดูดเม็ดเงินออกจากระบบเศรษฐกิจในประเทศ

“หลุมดำแรกคือสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่เกิดสภาวะสินค้าล้นตลาด แทบทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็น สินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น เครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ สินค้าขั้นกลาง เช่น เหล็ก เคมีภัณฑ์ ไปจนสินค้าสมัยใหม่ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือรถอีวี ปัจจุบันสินค้าจากจีนทะลักเข้าไทยสูงขึ้นเรื่อยๆเป็นประวัติการณ์ ตั้งแต่ปี2566 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึงราว1.3ล้านล้านบาท

ส่วนหลุมดำที่สอง คือแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ ที่ขยายตัวต่อเนื่องเรื่อยๆ มีคนไทยซื้อของออนไลน์มากถึง 9.8 แสนล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดกลายเป็นสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะซื้อขายผ่านบริษัท หรือเจ้าของสินค้าโดยตรงจากต่างชาติ รวมถึงบริษัทที่เสมือนเป็นบริษัทคนไทยที่อยู่ในประเทศ ดังนั้นเมื่อเจอ2หลุมดำ การอัดฉีดเงินเพื่อการบริโภคโดยไม่สร้างเงื่อนไขหรือแรงจูงใจอย่างเป็นระบบ เงินที่อัดเข้าไปในระบบจะรั่วไหลไปสู่สินค้านำเข้า” นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า ตนสงสัยว่าโจทย์ของรัฐบาลที่จัดสรรงบฯ กับโจทย์ประเทศ ไม่ใช่โจทย์เดียวกัน สะท้อนความไม่ชอบธรรมทางการเมืองจากการจัดตั้งรัฐบาล จึงเป็นคนละโจทย์กัน การจัดสรรงบฯปี68 จึงเป็นการจัดงบฯที่มักง่ายที่สุด สุ่มเสี่ยงที่สุด รัฐบาลกำลังเอาทรัพยากรของประเทศไปมุ่งแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองของตนเอง โดยเอาโอกาสและอนาคตของคนไทยทุกคนในประเทศ มาวางเดิมพันอย่างไม่รับผิดชอบ วิสัยทัศน์อย่าง Ignite Thailand กลายเป็น Ignore Thailand เจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ และด้วยเหตุผลทั้งหมด ตนจึงไม่สามารถที่จะเห็นชอบกับร่างพ.ร.บ.งบฯปี68ได้

ทั้งนี้ ช่วงท้ายของการอภิปราย นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงขอให้นายชัยธวัชถอนคำพูดที่ว่าประเทศเจ๊งไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ เนื่องจากผิดข้อบังคับการประชุมเป็นการไม่สุภาพ เสียดสี ใส่ร้าย