วันที่ 17 มิ.ย.2567 ที่พรรคเพื่อไทย นายดนุพร ปุณณกันต์ สส. บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า  ในการอภิปรายร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีรายจ่ายงบประมาณ 2568 ในวันที่ 19-21 มิ.ย.ภายใต้แนวคิด "ปลดพันธการ 6 ด้าน" ตอบสนอง 142 ประเด็นนโยบายว่า เชื่อมั่นว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้จัดสรรงบประมาณแต่ละกระทรวงภายใต้บริบทของประเทศที่เหมาะสมกับสถานการณ์  ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

โดยพรรคเพื่อไทยได้เตรียมสส.ของพรรคเพื่ออภิปรายสนับสนุน มากกว่า 22 คน อาทิ นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ จะอภิปรายถึงหลักการของการจัดทำงบประมาณ 2568 ที่พัฒนาประเทศ และปิดจุดอ่อนของการจัดทำงบประมาณประจำปี 2567 อย่างมีนัยะสำคัญ ส่วนน.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จะอภิปรายสนับสนุนงบประมาณของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งเป็น 1 ในหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น 

 



ด้านน.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สำหรับร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่พรรคเพื่อไทยเสนอจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ พร้อมอีก 3 ร่างฯของครม. พรรคก้าวไกล และพรรคภูมิใจไทย รวมทั้งหมด 4 ร่างฯ โดยในส่วนของพรรคเพื่อไทย เตรียมอภิปรายสนับสนุนใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ปรับการออกเสียงประชามติ  ให้มาใช้ระบบเสียงข้างมากปกติ แต่ให้เกินเสียงของผู้ไม่ประสงค์จะใช้สิทธิออกเสียง เพื่อความถูกต้องชอบธรรม จากเดิมที่ใช้การเสียงข้างมาก 2 ชั้น (Double majority) ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียง เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง 2.การออกเสียงประชามติ สามารถทำได้วันเดียวกันกับวันเลือกตั้งทั่วไปหรือวันเลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อประหยัดงบประมาณ  และ 3.สนับสนุนให้สามารถออกเสียงผ่านช่องทางไปรษณีย์และระบบอิเล็คทรอนิกส์ได้



“ความสำคัญของ พ.ร.บ.ประชามติ  จะเป็นบันไดขั้นแรกที่นำพาคนไทยทุกคนไปสู่การได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน  ร่างฯ ทั้ง 4 ฉบับ จากการศึกษาโดยละเอียดมีความไม่แตกต่างกันมาก โดยร่างฯ ของพรรคเพื่อไทยได้ยื่นต่อประธานสภาฯ ไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ที่จะบรรจุร่างเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นช่วงพอดีกับร่างฯของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 พอดี เชื่อว่าจุดนี้จะเป็นก้าวแรกที่จะทำให้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ” น.ส.ขัตติยา กล่าว

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ  และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล ได้โพสต์เนื้อหาในเชิงโจมตีด้อยค่าวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ว่าเป็น Ignore Thailand  นั้นว่า คงไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะการ Ignore Thailand  น่าจะหมายถึงการไม่เร่งรีบตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ และปล่อยให้ประเทศเกิดสุญญากาศไป 10 เดือนมากกว่า ส่วนวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ของนายเศรษฐา เป็นการผลักดันนโยบายกระตุ้นเม็ดเงินเข้าประเทศ ผ่านการทำงานร่วมกับกระทรวงต่างๆ โดยใช้งบประมาณอย่างเหมาะสมที่สุด เช่น กระทรวงคมนาคม หากมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมศักยภาพในการขนส่งได้เต็มศักยภาพ การเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค จะสามารถเกิดขึ้นได้ในเร็ววัน 

ซึ่งคำว่า “เจ๊งไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้” ทั้งที่โครงการทยอยประกาศออกไป  เป็นการด่วนตัดสินโดยที่ไม่มีข้อมูลรอบด้านเพียงพอ  เพียงเพื่อหวังผลช่วงชิงพื้นที่ทางการเมืองเท่านั้น  ไม่ได้เกิดประโยชน์ใดกับประชาชน จึงขอให้พรรคก้าวไกล รวมถึงพรรคฝ่ายค้าน ใช้ข้อมูลแล้วตั้งใจอภิปรายเสนอแนะงบประมาณ ปี 2568 จะเป็นประโยชน์กว่าการกล่าวหาลอยๆ



นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า ส่วนงบประมาณที่ใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet  เป็น 1 ในนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 จะทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวน ที่จะกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง และมีการแจกแจงที่มาของเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการอย่างชัดเจน ใน 3 ส่วน

คือ 1.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2568 2.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 และ3.งบทดรองจ่ายจ่ายของสถาบันการเงินของรัฐ ดังนั้นการใช้งบประมาณเพื่อนำเงินถึงมือประชาชน เกิดการจับจ่าย การจ้างงาน จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.2-1.6% รัฐบาลจะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี นอกจากจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ เตรียมความพร้อมของประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประชาชนด้วย