การเมืองลี้ลับ ฉบับพิสดาร ขยับหมากตาเดียวเสียวทั้งกระดาน เริ่มจากปฏิบัติการ 40 สว.ยื่นถอดถอน “นายกฯนิด”เศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่ง หวังบีบให้ลาออกเพื่อคายเก้าอี้แลกกับอิสรภาพของ “นายใหญ่”ทักษิณ ชินวัตร ในคดีมาตรา 112 ที่สร้างกระแสกดดันว่าอาจไม่ได้รับการประกันตัว ขณะที่รัฐบาลเพื่อไทยถูกมัด ไม่ให้ “ถีบเรือ” พรรคร่วมรัฐบาลเดิม แล้วไปจับมือกับพรรคก้าวไกล ด้วยเกมยุบพรรคดักรออยู่ป้ายหน้า

แต่กระนั้น ก็เห็นปฏิกิริยาในการ “สู้กลับ”!!   จากขั้วค่ายทั้ง “แดง-ส้ม” ไม่ว่าจะเป็นการอัญเชิญปรมาจารย์ด้านกฎหมายเอกอุ อย่าง วิษณุ เครืองาม มาช่วยต่อสู้คดีของ “นายกฯนิด”ที่ศาลรัฐธรรมนูญ และก็น่าเชื่อว่า จะมีส่วนช่วยพยุงใต้ปีกให้กับ “ทักษิณ”ในคดีมาตรา 112 ที่อัยการสูงสุดด้วย ในขณะที่ก้าวไกล ก็เดินหน้าลุยแถลงแนวทางต่อสู้คดีต่อสาธารณะ  ภายหลังทำคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีล้มล้างการปกครอง หลังนำนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ไปหาเสียงเลือกตั้ง

กระนั้น เมื่อสถานการณ์สร้างเงื่อนไขบีบให้ “แดง-ส้ม” ไหลมาบรรจบกัน ด้วยประเด็นร่วมกันคือ มาตรา 112  ทำลายภาพ “แม่ทัพขั้วอนุรักษ์”ของ “ทักษิณ”ที่มาติดบ่วงคดีมาตรา 112 เช่นเดียวกับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล

อีกทั้งยังประกาศแสนยานุภาพ ว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ “ทักษิณ” ในการสู้กับกองทัพสีส้มแล้วก็เป็นได้ ทำให้สถานการณ์ต่างๆ อยู่บนความไม่แน่นอนเกินคาดเดา สะท้อนจากจังหวะเบี่ยงตัวไม่ไปพบพนักงานอัยการสูงสุดของ “ทักษิณ”เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม2567 ที่ผ่านมาด้วยเหตุผลว่า ติดโควิด และตามมาด้วยการยื่นขอความเป็นธรรมให้ทบทวนคำสั่งฟ้องอีกครั้ง

บวกกับท่าทีของ “ทักษิณ”ปาระเบิดใส่ “คนในบ้านป่า” สร้างความวุ่นวาย เร้าให้อุณหภูมิการเมืองร้อนแรงมากยิ่งขึ้น

ในจังหวะที่สภาฯกำลังผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งพรรคก้าวไกลนั้นถือธงสนับสนุนให้รวมความผิดตามมาตรา 112 เข้าข่ายความผิดที่ได้รับการนิรโทษกรรมด้วย  ซึ่งเดิมพรรคเพื่อไทยไม่ได้ออกตัวแรง แต่ เมื่อ “ทักษิณ”มาติดบ่วงด้วย แน่นอนว่าอาจมีความพยายามร่วมผลักดันในเรื่องนี้  แต่จะวางบทบาทอย่างไร ไม่ให้กลายเป็นเงื่อนไขถูกครหาช่วยนายตัวเอง

ซึ่งหากเคลื่อนประเด็นมาตรา 112 เข้ามาร่วมด้วย ก็อาจเกิด “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” กับกรณีนิรโทษสุดซอย ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่กลายเป็นชนวนระเบิดของมวลชน “กปปส.”ออกมาชุมนุมต่อต้านและนำไปสู่การรัฐประหาร!!

ถามว่าเพื่อไทยมีบทเรียนมาแล้วถึงสองครั้ง มีความกังวลต่อการเมืองนอกระบบหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่า ยังหลอนอยู่ไม่น้อย สะท้อนจากท่าทีของ “บิ๊กทิน”สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ที่จะมีการพูดคุยรับฟังความคิดเห็นจากผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อ ร่างก.ม.นิรโทษกรรม ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน

ขณะที่หันไปดูท่าทีของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาและจำแนกการกระทำ เพื่อประกอบแนวทางตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่หลังจากการเสียชีวิตของ “บุ้งทะลุวัง”เนติพร เสน่ห์สังคม เริ่มมีการนำประเด็นมาตรา 112 มาพิจารณา แม้จะยังไม่สรุปหรือฟันธงว่าจะ “รวม”  หรือไม่ “รวม”

แรงกดดันพุ่งเป้ามาที่พรรคเพื่อไทย จะเอาอย่างไร  เนื่องจากเป็นประเด็นอ่อนไหว ที่มีทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและคัดค้าน โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา มีจุดยืนชัดเจนที่จะไม่แตะมาตรา 112 หากพรรคเพื่อไทยเดินหน้าสนับสนุนรวมมาตรา 112 ในกฎหมายนิรโทษกรรมนั่นก็อาจนะไปสู่การ “แตกหัก”กับพรรคร่วมรัฐบาลดังที่กล่าวมา 

ไม่เท่านั้น ยังมีประเด็นที่น่าสนใจภายใต้การเมืองที่สลับซับซ้อน เมื่อนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ  ให้สัมภาษณ์ “สยามรัฐ”รายวัน (หน้า 3 ฉบับวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ) เปิดอีกประเด็นใหม่ที่เป็นตัวเร่งสุมไฟสถานการณ์ให้ “สุกงอม”ยิ่งขึ้น

 โดย “นิพิฏฐ์” ตั้งข้อสังเกต ว่าในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ศาลจะอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีของกปปส. น่าสนใจว่า เดิมศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกแกนนำหลักของกปปส.หลายคน ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกคดีของแกนนำกปปส.บางราย จะถึงที่สุด จะฎีกาไม่ได้ เว้นแต่ว่าจะขอฎีกาหรืออะไรก็ว่ากันไป เนื่องจากกปปส.กังวลเรื่องนี้มาก ทำให้กปปส.ที่อยู่ในพรรคการเมืองพยายามที่จะกดดันให้มีการนิรโทษกรรมโดยเร็ว  เพราะฉะนั้นถ้าปลายเดือนนี้ หากข่าวไม่คลาดเคลื่อน ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษา และยังจำคุกแกนนำกปปส.อีก เขาก็ต้องฎีกา สมมุติว่าหากฎีกา แล้วศาลฎีกาพิพากษา 1ปี จากนี้ลงมาอีก 1ปีศาลฎีกา พิพากษาแล้วกฎหมายนิรโทษกรรม ยังไม่ออกมา เท่ากับว่าแกนนำกปปส. จะต้องติดคุกจริง  ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอีก 1ปี กฎหมายจะออกมาได้หรือไม่

“นิพิฏฐ์” ระบุว่า เหตุผลที่การนิรโทษกรรมจะยาว เนื่องจากไม่มีหรอกที่พรรคเพื่อไทยจะนิรโทษกรรมความผิดทางการเมือง อย่างเดียว โดยไม่รวมคดีม.112 เพื่อช่วย “ทักษิณ” ด้วย ไม่มีทางยอมให้ “ทักษิณ” เสี่ยงคดีม.112 แน่นอน แต่ในทางกลับกัน เมื่อมี “ทักษิณ” พ่วงเข้าไปด้วย จะทำให้ความชอบธรรมในการแก้กฎหมายนิรโทษกรรม มันหายไป จะกลายเป็นว่า การนิรโทษกรรมเพื่อ “ทักษิณ” หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้จะเห็นว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ขยันขันแข็ง เรื่องม.112 เลย มีเพียงพรรคก้าวไกลเท่านั้น

“ความล่มสลายของรัฐบาลจะเกิดขึ้นตามมา เมื่อมีคดีม.112 เข้ามาด้วยซึ่งก่อนหน้านี้พรรครวมไทยสร้างชาติเคยประกาศชัดแล้วว่า ไม่เอาคดีม.112 มารวมกับนิรโทษกรรม รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นฝ่ายค้านก็ไม่เอา

ลองนับเสียงดูว่า ถ้าพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยรวมกันแล้วจะได้เสียงเกินครึ่งหรือไม่ และถ้าเกินครึ่งก็ต้องไปดูอีกว่า แล้วพรรคก้าวไกลจะถูกยุบหรือไม่ และเมื่อถูกยุบจริง พรรคก็ต้องแตกกันบ้าง สส.กระจายไปอยู่ตามพรรคต่างๆ และหากคนของพรรคก้าวไกล ไปอยู่พรรคบางพรรค ที่มีจุดยืนไม่แตะม.112 ก็จะไม่ยกมือหนุนให้เอาคดีม.112 มารวมในนิรโทษกรรมแน่นอน ดังนั้นเสียงก็จะหายไป เสียงจะเกิน 250 หรือไม่ ซึ่งต้องบอกว่าเสี่ยงอยู่เหมือนกัน  

จากนั้นต้องไปดูต่อว่า สว.ที่กำลังเลือกกันเข้ามาใหม่จำนวน 200 คนจะเอาม.112 หรือไม่ ซึ่งหากสว.ชุดใหม่ไม่เอา ด้วย กฎหมายนี้ก็แท้งได้เลย”   

ทั้งหมด ทั้งมวล จึงนำมาสู่บทสรุปที่ว่า กฎหมายนิรโทษกรรม จะกลายเป็น“ระเบิดเวลา”ของรัฐบาลเพื่อไทย และอาจส่งผลให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมืองไทยครั้งใหญ่