วันที่ 13 มิ.ย.2567 เวลา 14.00 น.นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 68 ในวันที่ 19-21 มิ.ย.ในส่วนของงบกระทรวงกลาโหมว่า งบบุคลากรลดลงแบบจิ๊บ ๆลดลงแบบธรรมชาติ แต่ก็เอามาเคลมว่าเป็นผลงาน เช่นหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา 19 ช่วงนั้นจะมีการบรรจุทหารจำนวนมาก ซึ่งข้าราชการในส่วนนั้นมาทยอยปลดเกษียณในช่วงนี้พอดี ดังนั้นกระบวนการกำลังพลก็ลดลงเองตามธรรมชาติ จึงทำให้งบประมาณด้านบุคลากรลดลง แต่การควบรวมก็ควบรวมเพียงไม่กี่หน่วย ประหยัดงบประมาณได้แค่ 30 กว่าล้านบาท แทนจะตัดอัตรากำลังก็ยังไม่ตัดอัตรา แสดงว่าวันดีคืนดีก็จะบรรจุกลับเข้ามาใหม่ได้
ที่สำคัญที่สุดคืองบประมาณของกระทรวงกลาโหม ในภาพรวมยังเพิ่มขึ้นอีก แต่ไปเพิ่มในส่วนไหน เพราะส่วนที่ควรเพิ่มก็ไม่เพิ่ม งบซ่อมสร้าง การซ่อมบำรุงยานเกราะล้อยางมีแค่ 40 ล้านบาท ทั้งที่มีความจำเป็นต่อการปฏิบัติภารกิจชายแดนไทย เมียนมา ที่ยาวถึง 2,401 กิโลเมตร แต่มีการซื้อโดรนแค่ 10 ลำ และยานเกราะล้อยางที่มีเป้าหมายต้องดำรงสภาพในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 เงิน 40 ล้านบาทคิดว่าจะพอซ่อมหรือไม่
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า รวมถึงปัญหาเรื่องการรออะไหล่ ปรากฎว่าเงินสำรองที่จะซื้ออะไหล่มาซ่อมก็ลดลง แต่งบที่ไปบวม กลับไปบวมอยู่ในงบก้อนหนึ่งที่มีประวัติ พอหลังจากสภาอนุมัติก็ไปเปลี่ยนแปลงงบประมาณแล้วไปจัดซื้อนั่นนี่เอง ซึ่งถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติสภาฯและประชาชน ซึ่งตนเห็นว่าเรื่องที่จำเป็นก็ไม่ซื้อ เรื่องที่ไม่จำเป็นก็ดองงบเอาไว้ แล้วไปเล่นทริก เพื่อรอการเปลี่ยนแปลง คำถามคือกองทัพไม่พร้อมที่จะรับมือกับบริบทความมั่นคงใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป ภัยคุกคามที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า คือสถานการณ์ที่เมียนมามีความจำเป็นต้องใช้ ทั้งโดรน แอนตี้โดรน และยานเกราะล้อยาง
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ลองคิดดูทุกวันนี้จะใช้ทหารไปลาดตะเวนแล้วจ๊ะเอ๋กับฝ่ายตรงข้ามหรือ ซึ่งตอนนี้มีรายงานจากสภาความมั่นคงว่าฝ่ายที่เขาสู้รบกันมีการใช้โดรนทางยุทธการแล้ว ไม่ใช่แค่โดรนลาดตะเวน แต่มีโดรนพลีชีพ โดรนติดอาวุธ ในขณะที่หลักนิยมของกองทัพบกมีการกล่าวถึงเพียงแค่โดรนลาดตะเวนเท่านั้น ทำให้การซื้อโดรนของกองทัพ เอาแค่กองทัพบกอย่างเดียวก็ซื้อจากหลากหลายแห่ง หลากหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอล จีน ตุรกี คำถามคือโดรนเหล่านี้จะสื่อสารกันทางยุทธวิธีรู้เรื่องหรือ นี่ยังไม่นับการปฏิบัติการข้ามเหล่าทัพเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ด้านอื่น ๆตกลงแล้วจะทำงานกันได้อย่างไร สมุดปกขาวกองทัพบกก็ยังไม่เสร็จ แล้วอย่างนี้กองทัพจะเข้มแข็งได้อย่างไร และจะรองรับภัยความมั่นคงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ลองไปดูข่าวว่าเดี๋ยวนี้พ่อค้ายาเสพติด พ่อค้าค้ามนุษย์เขาใช้โดรนลาดตะเวน เขาไม่หวังมาจ๊ะเอ๋กับเจ้าหน้าที่ไทยโดยบังเอิญแล้ว ขณะที่เขาใช้โดรนลาดตะเวนมาเจอเจ้าหน้าที่เรา จึงขอถามหน่อยว่าเรามีแอนตี้โดรนเพื่อบังคับโดรนของเขาให้ลงจอด เพื่อเก็บไว้เป็นของกลางหรือไม่ คำตอบคือแอนตี้โดรนของเราก็มีปัญหา
“นี่ยังไม่นับการฝึกกำลังพลเพื่อระงับยับยั้งโดรนฝ่ายตรงข้าม สิ่งต่างๆเหล่านี้ผมคิดว่าเราล้าหลังบริบทความมั่นคงในโลกยุคใหม่ไปมาก นี่คือความอ่อนแอของกองทัพ ผมคิดว่ารมว.กลาโหมต้องใส่ใจมากกว่านี้ และผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หวังว่าการอภิปรายรอบนี้นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม จะเลิกกลัวก้าวไกล เลิกกลัววิโรจน์ เลิกกลัวฝ่ายค้าน แล้วใช้ตรรกะความคิดในการใช้งบประมาณ เลิกเสียทีความกลัว แต่ผมก็ภูมิใจที่เป็นประธานกมธ.ทหารคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับรมว.กลาโหมได้เพียงขนาดนี้ขอบอกนายสุทินว่าไม่ต้องกลัว โอ้โอ๊ะโอ๋ ใจเย็นๆไม่ต้องกลัว ”นายวิโรจน์ กล่าว
เมื่อถามถึงการจัดซื้อเรือฟริเกต ฝ่ายค้านจะอภิปรายอย่างไร นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในร่างงบประมาณไม่มี ตนถึงบอกว่ามีการไปตัดงบฟริเกตที่มีอยู่ในงบปี 67 ดังนั้นจึงเข้าไม่ทันงบปี 68 เพราะต้องผ่านหลายกระทรวง และหลายหน่วยงาน นี่คือการสูญเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศจากอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ สูญเสียโอกาสในการต่อเรือรบ ขนาดระวาง 3,900 ตันภายในประเทศ คำถามคือแล้วใครจะไปลงทุนถ้ารออีก 2 ปีงบประมาณ จึงต้องมาลุ้นในปี 2569 ตนถึงบอกว่าอะไรที่ควรจะจัดซื้อก็ไม่จัดซื้อ แต่พอเรือดำน้ำก็ง้อ ตนคิดว่าหมดยุคแล้วที่จะนำเงินภาษีของประชาชนไปแลกอาวุธยุทโธปกรณ์มาดื้อๆ มันต้องมีผลประโยชน์ประเทศพ่วงด้วย แต่ของเราชอบเอาเงินไปแลกมาดื้ออย่างเรือดำน้ำ เครื่องยนต์ก็เพิ่งใช้ปากีสถาน เราก็ไปรับเขามา แล้ว 8,000 ล้านที่จ่ายไปและอีก 2,000 ล้านที่ลงทุนไปกับ 1,200 วันประมาณ 4 ปีคิดดอกเบี้ย 2.5 เปอร์เซ็นปีละ 250 ล้านบาท 4 ปีที่เราต้องรอมีจำนวนพันล้าน รัฐบาลได้ตอบเรื่องเงินชดเชยที่จะได้รับหรือไม่ ทำไมสุดท้ายบอกว่าเป็นสัญญาจีทูจี ต้องยืดหยุ่นทุกอย่าง อย่างนั้นอนาคตก็ไม่ต้องมีสัญญาแล้ว ส่งบรรณาการดอกไม้เงินดอกไม้ทองให้ก็แล้วกัน