ด้วยเป้าหมายเชิงนโยบายของรัฐบาลตั้งเป้าสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท ในเรื่องนี้จึงต้องได้รับการสนับสนุนจากนโยบาย Ignite Thailand ทั้ง 8 ด้านของนายกรัฐมนตรี เพื่อจะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวในปี 2567 ในการต่อยอดรายได้การท่องเที่ยวให้ถึงเป้าหมาย โดยมีการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท.เดินหน้าทำการตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

ต้องเพิ่มเป้ารายได้อีก 5 แสนล้าน

ในเรื่องนี้ นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า เป้าหมายการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ ทางททท.วางไว้ที่ 3 ล้านล้านบาท เป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวไทย 2 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งตลอด 5 เดือนแรกของปีนี้ ตั้งแต่มกราคม ถึง พฤษภาคม .67 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าเที่ยวแล้วเกือบ 15 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 8.3-8.4 แสนล้านบาท

ดังนั้นเป้าหมายรายได้ที่ 3 ล้านล้านบาทมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ แต่การที่ททท.จะต้องเพิ่มเป้ารายได้ขึ้นอีก 5 แสนล้านบาท ตามเป้าหมายรัฐบาลที่กำหนดไว้ที่ 3.5 ล้านล้านบาท เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายรัฐบาล ซึ่งวางเป้ารายได้ตลาดต่างประเทศไว้ที่ 2.3 ล้านล้านบาท ส่วนรายได้ตลาดในประเทศ 1.2 ล้านล้านบาท ก็ต้องบริหารความเสี่ยงควบคู่กันไปกับการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น

ซึ่งขณะนี้นายกรัฐมนตรีให้นโยบายททท.กระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปีนี้อย่างเต็มที่ เพื่อดันเป้าหมายการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท เพื่อให้ได้เป้าหมายรัฐบาลในการสร้างรายได้ท่องเที่ยวปีนี้อยู่ที่ 3.5 ล้านบาท โดย ททท.ได้มุ่งเน้นใน 3 แกนหลัก ได้แก่  การทำเรื่องของบิ๊กอีเว้นท์  งาน SUMMER SONIC BANGKOK 2024 ที่มาจัดในประเทศไทย  การจัดโครงการหนีฮ่าว (Nihao Month)  ดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนมาเที่ยวไทยในเดือน ต.ค. ร่วมเฉลิมฉลองช่วงหยุดยาววันชาติจีน 1 ต.ค.นี้

อีกทั้งยังได้รับมอบนโยบายให้ขับเคลื่อนตลาดในประเทศช่วงโลว์ซีซัน และส่งเสริมเมืองรอง ให้เป็นเมืองน่าเที่ยว ส่วนตลาดต่างประเทศ จะเน้นกระตุ้นโดยในจุดที่มีการเชื่อมต่อของสายการบินต่างๆ ที่จะทำควบคู่ไปด้วยกัน

งบเพิ่มเติมจากรัฐบาลมาช่วยผลักดัน

อย่างไรก็ตาม นางสาวฐาปนีย์  กล่าวว่า เวลานี้ กลุ่มตลาดที่มาในประเทศไทยมีการแบ่งเป็นประเทศที่เป็นดาวรุ่ง 10 อันดับดาวรุ่งที่มีการเติบโตในการเดินทางมาเที่ยวไทยสูง กับ 10 อันดับดาวฤกษ์ ที่มีจำนวนเดินทางมาเที่ยวไทยสูงสุด  โดยหลังจากการประชุมวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ก็สามารถนำการสนับสนุนงบจากรัฐบาลที่เพิ่มเติมเข้ามาผลักดันในกลุ่มดังกล่าวให้เกิดการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น  

พร้อมกันนี้ ทางททท.ได้ร่วมผลักดันเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มประเทศ Greater Mekong Sub-region (GMS) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา ลาว จีน (เฉพาะ 2 มณฑล ได้แก่ ยูนนาน และกว่างสี) ไทย และเวียดนาม ให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทะลุ 95 ล้านคนภายในปี 2568 โดยตั้งเป้าผลักดันไทยเป็นฮับท่องเที่ยวของอาเซียน  ด้วยการโปรโมทเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงข้ามภูมิภาค  เป็นต้น

ส่งความเชื่อมั่นให้เกิดการเดินทาง

พร้อมกันนี้ นางสาวฐาปนีย์  ยังกล่าวต่อ ว่า  นโยบายการต่างประเทศของ ททท. นั้น เป็นประเด็นที่มีความสำคัญต่อการตลาดและการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง นอกเหนือสร้างความสัมพันธ์อันดีซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นให้เกิดการเดินทางแล้ว ยังจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนสามารถจะขยายธุรกิจไปยังตลาดศักยภาพใหม่ ผ่านการบูรณาภายใต้กรอบความร่วมมือ อาทิ BIMSTEC, BRICS หรือ APEC ควบคู่กับการขับเคลื่อนความร่วมมือทวิภาคีเพื่อรักษาฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพ อาทิ ไทย-จีน ไทย-เกาหลีใต้ และ ไทย-มาเลเซีย เป็นต้น

รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างททท. กับหน่วยงานพันธมิตรในประเทศ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม สภาพัฒนาการเศรษกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) เป็นการดำเนินงานที่ ททท. ให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพสินค้าและการบริการของประเทศไทย ให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน