ศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้ (12 มิ.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญ มติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 122 วรรค 3 ไม่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 26 วรรค 1 โดยตุลาการเสียงข้างน้อยคือนายนภดล เทพพิทักษ์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และมีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยว่า มาตรา 122 วรรคสามของกฎหมายเดียวกัน ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคหนึ่ง
ทั้งนี้กรณีดังกล่าวเป็นคดีที่ศาลปกครองกลางส่งคำโต้แย้งของ พล.ต.ท.สมหมาย นิตยบวรกุล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภาค 8 หรือ บิ๊กอ่วม ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 มีคำพิพากษายึดทรัพย์ 136.2 ล้าน เนื่องจากมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ ตามการชี้มูลของ ป.ป.ช. ในคดีหมายเลขดำที่บ.127/2566 ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 212 ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 122 วรรคสามขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 26 และมาตรา 29 หรือไม่
ซึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 122 บัญญัติว่า เมื่อ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่ำรวยผิดปกติ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีมติ เพื่อให้อัยการสูงสุดดำเนินการยื่นคำร้อง ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน
และในวรรคสาม กำหนดให้แจ้งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป ไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนของผู้ถูกกล่าวหา ภายใน 30 วันนับแต่วันที่วินิจฉัย เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่