ปัจจุบันมีชุมชนชาวเล 44 ชุมชน จำนวน 3,450 ครัวเรือน มีประชากรประมาณ 12,309 คน กระจายใน 5 จังหวัดอันดามัน คือ ภูเก็ต 5 ชุมชน พังงา 23 ชุมชน ระนอง 3 ชุมชน กระบี่ 10 ชุมชน และ สตูล 3 ชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ได้รับผลพวงจากการพัฒนาสมัยใหม่ ที่ไม่สมดุลเหมือนกับชนเผ่าพื้นเมืองอื่นๆของประเทศไทย ทั้งการพัฒนาอันดามัน เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวระดับโลก และการประกาศเขตอุทยาน / เขตอนุรักษ์ทับที่ทำกินดั้งเดิมของชาวเล ส่งผลให้เบียดขับวิถีชีวิตวัฒนธรรมชาวเล พื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ประกอบพิธีกรรมถูกยึดด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งทะเล ที่เน้นการให้บริการนักท่องเที่ยว ที่มีมาทีหลัง ทำให้ชาวเลไม่มีสิทธิเข้าไปหากินในที่เคยทำมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญไทยรับรองสิทธิตามจารีตประเพณีดั้งเดิม แต่ไม่มีผลในทางปฏิบัติ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของชาวเลตกต่ำลงเรื่อยๆ - ปัญหาไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย ชาวเลส่วนใหญ่ไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย เพราะไม่มีเอกสารสิทธิที่ดิน โดยส่วนใหญ่ชุมชนอยู่ในที่ดินรัฐ บางชุมชนมีเอกชนอ้างสิทธิเหนือที่ดิน โดยออกเอกสารทับที่ชุมชนและฟ้องขับไล่ชาวเล มีชุมชนชาวเลรวม 44 แห่งไม่มั่นคงในการอยู่อาศัยถึง 28 แห่ง ชุมชนชาวเลที่มีเอกชนอ้างสิทธิเหนือที่ดินและมีปัญหาความไม่ชัดเจนในการถือครองที่ดิน คือ ชุมชนชาวเลอูรัคราโวยเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ชุมชนชาวเลอูรัคลาโวยบ้านแหลมตง เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ชุมชนเกาะสิเหร่ และ ชุมชนชาวเลบ้านราไวย์ จังหวัดภูเก็ต ชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยมาตั้งแต่ปี 2452 และทำให้มีข้อยุติลงว่าเกาะหลีเป๊ะและหมู่เกาะใกล้เคียง เป็นเขตแดนไทยไม่ใช่มาเลเซีย เพราะการแสดงตัวของชาวเล แต่ปัจจุบันชาวเลเกือบทั้งหมด กลายเป็นผู้บุกรุก ทั้งจากการประกาศเขตของอุทยานฯ / การออกเอกสารสิทธิทับที่ และการพัฒนาการท่องเที่ยว นำไปสู่การแย่งสิทธิที่ดินชาวเล ด้วยวิธีการต่างๆ ชุมชนเกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ปัญหาที่ดินของชาวเลมีแนวโน้มว่าชาวเล 40 ครัวเรือนอาจจะไร้ที่อยู่อาศัยเพราะเอกชนต้องการที่ดินเพื่อการท่องเที่ยว ชุมชนชาวเลบ้านราไวย์ จังหวัดภูเก็ต มีจำนวน 244 ครัวเรือนกว่า 2,000 คน ถูกฟ้องขับไล่แล้ว 117 ครอบครัว และมีแนวโน้มว่าจะถูกทยอยฟ้องทั้งชุมชน แต่อย่างไรก็ตามอยู่ระหว่างความพยายามในการแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยมีการพิจาณาซื้อที่ดินพิพาจดั่งกล่าวให้แก่ชาวเลราไวย์ การขาดกรรมสิทธิ์ที่ดินส่งผลกระทบต่อสวัสดิการอื่นๆ เช่น ต้องใช้น้ำ ประปา ไฟฟ้า ราคาแพงกว่าคนทั่วไป 2 ถึง 3 เท่าเพราะซื้อแบบต่อพ่วง ขาดโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาจากหน่วยงานท้องถิ่น กรณีชุมชนชาวเลที่มีปัญหาในพื้นที่อุทยานฯ ประกาศทับ เช่น ชุมชนชาวเลเกาะอาดัง เกาะราวี และเกาะบูโหลน จังหวัดสตูล ชุมชนชาวเลจังหวัดพังงา ที่มีการประกาศเขตอุทยานฯ / ป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่มีการกันชุมชนและสวน / พื้นที่ทำกินของชาวเลออก มีแนวโน้มทำให้เกิดความขัดแย้งระยะยาว ทำให้เกิดปัญหาการจับกุมและฟ้องขับไล่ชาวเลเป็นระยะ - สุสานและพื้นที่ทางจิตวิญญาณ ถูกคุกคาม ชาวเลมีพิธีกรรมหลายอย่าง การไหว้บูชาหลาหรือโต๊ะที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พิธีนอนหาด ซื่งเป็นการรวมญาติและทำพิธีสะเดาะเคราะห์เสี่ยงทาย ฯลฯ ดังนั้น สุสานและพื้นที่พิธีกรรมจึงเป็นแหล่งรวมจิตวิญญาณ และสืบทอดจารีตประเพณีของชาวเลที่มีมาดั้งเดิม แต่นโยบายการท่องเที่ยว ทำให้เกิดการรุกรานที่ดินสุสาน และยึดพื้นที่พิธีกรรมของชาวเลไปเป็นพื้นที่การท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชาวเลบางชุมชนไม่มีพื้นที่เพื่อทำพิธีกรรม สุสานชาวเลหลายแห่งถูกอ้างสิทธิครอบครองโดยนายทุน / ผู้มีอิทธิพล ปัจจุบันมีพื้นที่สุสานและพื้นที่พิธีกรรม กำลังถูกคุกคาม ไม่ต่ำกว่า 15 แห่ง สรุปปัญหาและความคืบหน้าในการแก้ปัญหาของชาวเล ดังนี้ 1.สรุปสภาพปัญหาที่ดินชุมชนชาวเล 5 จังหวัด จำนวน 44 ชุมชน 3,450 ครัวเรือน 12,309 คน - อาศัยในที่ดินรัฐ ซึ่งโดยส่วนใหญ่อยู่อาศัยก่อนการประกาศของรัฐ 31 แห่ง เช่น กรมเจ้าท่า ป่าชายเลน ป่าสงวน และอุทยานแห่งชาติ ฯลฯ ( ยังไม่มีปัญหา ) - ที่ดินซึ่งชาวเลมีเอกสารสิทธิ์ เป็นโฉนด หรือ นส.3 จำนวน 13 แห่ง ที่ดินซึ่งมีโอกาสถูกไล่ เช่น กำลังถูกฟ้องขับไล่เอกชนอ้างสิทธิ์ หรือ มีการกว้านซื้อ หรือ มีข้อพิพาททั้งเอกชนและรัฐ 7 แห่ง 1,228 หลังคาเรือน ดังนี้ จังหวัดภูเก็ต 790 หลังคาเรือน 1) ชุมชนชาวเลบ้านราไวย์ 250 หลังคาเรือน 2) ชุมชนชาวเลเกาะสิเหร่ 540 หลังคาเรือน จังหวัดกระบี่ 33 หลังคาเรือน 3) ชุมชนชาวเลแหลมตง เกาะพีพี 33 หลังคาเรือน จังหวัดสตูล 328 หลังคาเรือน 4) ชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ 185 หลังคาเรือน 5) เกาะอาดัง 40 หลังคาเรือน 6) เกาะบูโหลน 103 หลังคาเรือน จังหวัดพังงา 77 หลังคาเรือน *** หมายเหตุ-ข้อมูลนี้นำมาจากเอกสารที่แจกจ่ายในงานรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเลครั้งที่ 7 ซึ่งจัดทำโดยมูลนิธิชุมชนไท