“ก้าวไกล”แถลงเปิด 9 ข้อ สู้คดียุบพรรค “พิธา”ลั่นช่วยพรรครอดคดี ระบุ”กกต.”ร้องโดยมิชอบ ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจพิจารณา ด้าน”ปธ.กกต.” ย้ำส่งหลักฐานตรงศาลรัฐธรรมนูญยุบก้าวไกล ตามระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่จำเป็นต้องแจ้งผู้ถูกร้องก่อน
 
  ที่ทำการพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.67 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  ประธานที่ปรึกษาพรรค แถลงข่าวการต่อสู้คดีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล ต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยได้เปิดขอต่อสู้ 9 ข้อ ที่เน้นหนักไปในเรื่องที่ กกต. ยื่นร้องศาลฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดระเบียบของ กกต. โดยกล่าวว่า หากนายทะเบียนพบว่าพรรคการเมืองกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 ซึ่ง นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องทำตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง 2566  ข้อที่ 6 ต้องให้โอกาสผู้ถูกร้องทราบถึงข้อกล่าวหาและมีการเปิดเผยพยานหลักฐานในการชี้แจงก่อน ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่ได้รับการปฏิบัติในกระบวนการนี้ รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญเองก็ไม่มีขอบเขตอำนาจในการพิจารณาคดีดังกล่าว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 แต่ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ

นายพิธา กล่าวว่า คำพิพากษาในคดีเมื่อวันที่ 31 ม.ค.67 ที่กกต. ใช้เป็นเพียงหลักฐานเดียวในการยื่นยุบพรรคครั้งนี้ ไม่มีความผูกพันกับการร้องในคดีล่าสุด เพราะตามทฤษฎีกฎหมายแล้วหากคดีจะมีความผูกพัน จะต้องเป็นข้อหาในเดียวกัน เพราะต่างข้อหาก็ต่างวัตถุประสงค์ของกฎหมาย  อีกทั้งระดับโทษต้องใกล้เคียงกัน ซึ่งยกตัวอย่างโทษของคดีเมื่อเดือนมกราคม คือการให้หยุดการกระทำหาเสียงด้วยการยกเลิก มาตรา 112 แต่ในคดีนี้มีโทษมากสุดถึงการยุบพรรค จึงมีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล การยุบพรรค เป็นกระบวนการที่มีได้ แต่ต้อง ใช้อย่างระมัดระวัง  มีความอดกลั้น  และเป็นมาตรการสุดท้ายที่จำเป็น เร่งด่วน และไม่มีวิธีอื่นในการแก้ไข ซึ่งไม่ใช่ในคดีดังกล่าวนี้ เพราะ กกต.เอง ก็ยกคำร้องขอยุบพรรคก้าวไกลมาโดยตลอด ทั้งในเรื่องนโยบายหาเสียงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา การแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ การเป็นนายประกันของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 หรือมีผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวเป็นสมาชิกพรรคการเมือง / อีกทั้งเห็นว่า หากมีการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ก็จะยังมีกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่สามารถยับยั้งการกระทำดังกล่าวได้

นายพิธา กล่าวอีกว่า ตนมั่นใจภายหลังการแถลงข่าวครั้งนี้ ว่าทุกข้อจะมีส่วนช่วยในการสู้คดีที่ กกต. เป็นคนร้อง จะเปรียบเสมือนขั้นบันไดช่วยเหลือ ส.ส 44 คน ที่ยืนยันว่าจะไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง  ซึ่งกรรมการบริหารพรรคที่อาจถูกตัดสิทธิ์ หากมีคำพิพากษาให้ยุบพรรค มีสามชุดคือ ชุดแรก สมัยที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค ชุดที่สอง หลังจากที่ตนลาออกจากหัวหน้าพรรค  และชุดที่สามที่มีสัดส่วนของกรรมการบริหารพรรคภาคเหนือเพิ่มเข้ามา ซึ่งรับตำแหน่งในเวลาเพียงไม่ถึงหกเดือน ส่วนนี้ตนจึงมองว่าควรมีสัดส่วนในการลงโทษที่เหมาะสม ไม่ควรลากยาวมาถึงกรรมการบริหารพรรคชุดนี้

นายพิธา กล่าวว่า การพิจารณาคดีขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ตนเคารพในดุลพินิจของศาล ไม่ขอก้าวล่วง หากศาลเห็นด้วยว่าสองคดีต่างกัน ก็ควรเปิดโอกาสให้มีการไต่สวน ซึ่งพรรคก้าวไกล เตรียมผู้เชี่ยวชาญไว้ไต่สวน มากกว่า 10 คน หากถูกยุบ ก็มีการตรียมตัวไว้ทุกสถานการณ์ แต่การเมืองจะเป็นอย่างไร จะคล้ายกับแฟลชม๊อบ ตามที่ผู้สื่อข่าวถามหรือไม่นั้น  ตนไม่กล้าคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิด แต่จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เปราะบางเช่นนี้ก็ไม่ทราบว่าจะเกิดผลอะไรทางการเมืองบ้าง แต่ตนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงขั้นนั้น พร้อมยืนยันว่าสมาชิกพรรคยังเหนียวแน่น เป็นเอกภาพ ปึกแผ่น และเชื่อว่าเป็นงูเห่าคือการฆ่าตัวตายทางการเมือง 100% หลังมีกระแสข่าวว่าจะดึง สส.ไปเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ซึ่งตนก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขั้นที่จะไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้หูเบาที่จะเชื่อทุกอย่างไปหมด

เรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112  ที่ผ่านมาไม่ได้มีเพียงพรรคก้าวไกลที่พูดเรื่องนี้เท่านั้น ในหลายหลายเวทีดีเบตก่อนการเลือกตั้ง ผู้สื่อข่าวหลายคนก็ได้ถามถึงแนวทางเรื่องนโยบายดังกล่าวนี้กับหลากหลายพรรคการเมือง ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รมว.ยุติธรรม หรือนักการเมืองคนอื่นๆ ที่ได้เสนอแนวทางในการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 9 ข้อต่อสู้ที่เปิดออกมา ได้แก่ 1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีขอบเขตอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ 2.กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 3.คำวินิจฉัยเมื่อ 31 มกราคม 2567 ไม่ผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้ 4.การกระทำที่ถูกกล่าวหา ไม่ล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ 5.การกระทำตามคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ไม่ได้เป็นมติพรรค 6.โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้าย เมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีวิธีแก้ไขอื่น 7.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 8.จำนวนปีในการตัดสิทธิทางการเมืองต้องได้สัดส่วนกับความผิด 9.การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา

ด้าน นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. ) ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคก้าวไกลแถลงถึงข้อต่อสู้คำร้องยุบพรรค ในศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีข้อสังเกตว่ากกต. ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกลไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดระเบียบของกกต.เอง เพราะไม่ได้มีการชี้แจงให้ผู้ถูกร้องทราบก่อน ว่า การดำเนินการของกกต. ไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบสืบสวนไต่สวน แต่เป็นการดำเนินการตามระเบียบว่า ด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้จัดการถามว่าทางพรรคก้าวไกลระบุกกต.ใช้หลักฐาน เป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมาเป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียว ในการยื่นขอยุบพรรคก้าวไกล คาดว่าจะเพียงพอต่อการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ขอตอบในนามส่วนตัวว่าที่จำเป็นต้องส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ เพราะกฎหมายมาตราที่เกี่ยวข้องบอกว่าเมื่อกกต. มีหลักฐานอันควรเชื่อว่า ซึ่ง หลักฐานอันควรเชื่อว่าตรงนี้ก็คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ส่งไป ถ้าไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เราอาจจะต้องดำเนินกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐานมากกว่านี้ นี่คือข้อเท็จจริงที่ได้แจ้งให้สาธารณชนทราบไปแล้ว