เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ความมั่นคง การเมือง เงินดิจิทัล กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวน 1,095 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 5 – 8 มิถุนายน พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา
เมื่อถามถึงการสนับสนุนของประชาชนต่อรัฐบาลให้ทำ ระหว่าง ความมั่นคงของชาติ กับ แจกเงินดิจิทัล พบว่าเสียงของประชาชนแตกออกเป็น 3 กลุ่มในสัดส่วนพอ ๆ กันคือ ร้อยละ 35.7 สนับสนุนรัฐบาลให้ทำเรื่องความมั่นคงของชาติ มากกว่า ในขณะที่ ร้อยละ 31.3 สนับสนุนรัฐบาลให้แจกเงินดิจิทัล มากกว่า และร้อยละ 33.0 ไม่มีความเห็น
เมื่อสอบถามถึงกระแสความคิดเห็นของประชาชนต่อ ประเด็นสำคัญทางการเมืองและความมั่นคง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.6 รู้สึกหมดหวังกับองค์กรอิสระของประเทศไทย รองลงมาคือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.1 ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง การบริหารราชการ การแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชน และร้อยละ 83.4 ระบุ ปัญหาการเลือกตั้ง สว. จะบานปลาย ในขณะที่ร้อยละ 54.9 ระบุ ประเทศมหาอำนาจต่างชาติพยายามชี้นำฝ่ายการเมืองไทย เอื้อประโยชน์ต่างชาติ และร้อยละ 48.4 ระบุ ประเทศใกล้เคียง ประเทศไทย เช่น กัมพูชา สิงคโปร์ เวียดนาม กำลังพัฒนาขีดความสามารถทางทหาร เติบโตแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อ 40 สว.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญจัดการกับ นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.2 ไม่เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 38.8 เห็นด้วย
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า ผลโพลครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าการเมืองไทยไม่นิ่งส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกและความหวังของประชาชนต่อองค์กรอิสระ ปัญหาการเลือกตั้ง สว. และไม่เห็นด้วยกับ 40 สว.ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญจัดการกับนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ เสียงของประชาชนยังแตกออกเป็น 3 ส่วนเมื่อถามถึงการสนับสนุนรัฐบาลให้ทำเรื่องความมั่นคงของชาติมีสัดส่วนมากพอ ๆ กับการแจกเงินดิจิทัลและกลุ่มที่ไม่มีความเห็น ในขณะที่ ประชาชนเกินครึ่งมองไปยังประเทศมหาอำนาจที่พยายามชี้นำนโยบายของฝ่ายการเมืองเอื้อประโยชน์ต่อต่างชาติ และยังมองไปยังประเทศใกล้เคียงเช่น กัมพูชา เวียดนาม และสิงคโปร์ที่มีความเจริญเติบโตและการพัฒนาขีดความสามารถทางทหาร
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุย้ำอีกว่า ในขณะที่การเมืองไทยไม่นิ่ง โดยเห็นได้จากตัวชี้วัดการเมืองที่ก่อตัวเป็นคลื่นทั้งใต้น้ำและบนน้ำ เช่น กรณีพรรคก้าวไกล กรณี 40 สว.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญจัดการนายกรัฐมนตรี กรณีปัญหาการเลือกตั้ง สว. แบบฉบับพิเศษ กรณี การนิรโทษกรรม ม.112 และอาการแกว่งตัวของการเมืองที่ถูกรุมเร้าด้วยความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องค่าครองชีพสูง ปัญหาพลังงาน ปัญหาหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบ ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม เป็นต้น
โดยจากผลโพลนี้สะท้อนให้เห็นตัวเลขทางสถิติว่า คนไทยยังไม่ใช่ส่วนใหญ่ที่จะตระหนักถึงความมั่นคงของชาติ
“ในขณะนี้ประเทศมหาอำนาจสองประเทศทั้งประเทศจีนที่มีฐานทัพเรือที่กัมพูชาและสหรัฐอเมริการัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ มาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางทหารกับประเทศกัมพูชาทั้งสองประเทศมหาอำนาจนี้ต่างกำลังเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศกัมพูชาโดยเฉพาะขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาโดยที่คนไทยทุกคนคงทราบดีว่าประเทศไทยกับประเทศกัมพูชายังคงมีความขัดแย้งเรื่องเขตแดนดินแดนและผลประโยชน์ชาติของแต่ละประเทศที่อาจกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่ประเทศไทยอาจจะสูญเสียผลประโยชน์ชาติมหาศาล ดังนั้นการเมืองไทยต้องนิ่ง นักการเมืองบางกลุ่มต้องไม่มุ่งแต่จะถอนทุนคืนและต้องหันมาใส่ใจเรื่องความมั่นคงของชาติและช่วยกันออกแบบยุทธศาสตร์ที่ดีระหว่างประเทศไทย ประเทศจีนสหรัฐอเมริกาและกัมพูชาทั้งยุทธศาสตร์เชิงรุกทางการทูต การทหารการพลเรือนและความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อรักษาดุลยภาพและผลประโยชน์ชาติทั้งสองให้ลงตัวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” รายงานของซูเปอร์โพล ระบุ