ทุกแนวรบทางการเมืองกำลังเขม็งเกลียว งวดเข้ามาทุกขณะ โดยมี “เพลย์ เมกเกอร์” คนสำคัญ ล้วนเข้าไปเกี่ยวพัน  ต่างฝ่ายต่างถือเดิมพันอันสูงลิบลิ่ว ด้วยเหตุที่ผลแพ้ -ชนะ การชี้ขาดทางคดีสามารถพลิกผันทำให้เกิด “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญตามมาทันที !

ในห้วงตลอดทั้งเดือนมิถุนายน คือช่วงเวลาที่สร้างแรงกดดันทางการเมืองอย่างรุนแรง เนื่องจากมีคดีความที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ไปจนถึง “รัฐบาล” ทั้งคณะ  มิหนำซ้ำยังถูกคาดการณ์กันไปไกลถึงขั้น “เปลี่ยนขั้ว”  เพื่อตั้ง “รัฐบาลใหม่”

หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง กับ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ไม่รอดจากบ่วงคดีที่ “40 สว.” ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ถอดถอนจากตำแหน่งจากกรณีแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี ที่ผ่านมาทั้งที่รู้ว่าพิชิต อาจมีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ทั้งนี้นายกฯเศรษฐา มีกำหนดส่งคำชี้แจงคำร้องภายในวันที่ 10 มิถุนายน

ขณะที่ “ทักษิณ ชินวัตร”  ที่แม้จะเป็น “อดีตนายกฯ” แต่กลับมีอิทธิพลเหนือ รัฐบาล เป็นขุมพลังของ “พรรคเพื่อไทย” ต้องมาติดบ่วงคดีใหญ่ ตกเป็นผู้ต้องหา ในความผิด ตามมาตรา 112 กรณีเคยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ แล้วพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ แน่นอนว่า การติดบ่วงคดี ม.112 ไม่ใช่เรื่องเล็ก และในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ อัยการสูงสุดนัดทักษิณเพื่อส่งฟ้องต่อไป

สำหรับ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”  และ “พรรคก้าวไกล” เตรียมนับถอยหลังไปสู่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย ต้องลุ้นว่าจะถูก “ยุบพรรค” และ “ตัดสิทธิ” กรรมการบริหารพรรค ตามคำร้องหรือไม่ ซึ่งล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดพิจารณาคดีต่อในวันที่ 12 มิถุนายนนี้

เท่ากับว่า เศรษฐา ทักษิณ และพรรคก้าวไกล ฝากชะตากรรมทั้งของตัวเอง และยังอาจมีผลกระทบขยายวงออกไป ในห้วงเวลาเดียวกัน ในเดือนมิถุนายนนี้

เมื่อ ทักษิณ นับเป็น “กล่องดวงใจ” ของพรรคเพื่อไทย และมีอิทธิพลต่อรัฐบาล ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทุกความเคลื่อนไหวใดๆจึงถูกร้อยเอาไว้ด้วยกัน   กระแสข่าวว่า ทักษิณ จะอยู่สู้คดี ม.112 หรือเลือกที่จะ “หนี” เป็นครั้งที่สอง สะพัดมาอย่างต่อเนื่อง  ว่าโอกาสและความเป็นไปได้ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น 

เพราะในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ ทักษิณ ต้องแน่ใจได้ว่า หากไปพบกับอัยการสูงสุดแล้วถูกนำตัวส่งฟ้อง เขาจะต้องได้รับการประกันตัว การที่จะให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำสำหรับทักษิณ แล้วจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดปรากฏการณ์ “ติดคุกทิพย์” จนทำให้กระบวนการยุติธรรม ถูกท้าทายกันมาแล้ว            

ทั้งนี้มีการนำไปเทียบเคียงในกรณีผู้ต้องหาคดีม.112 หลายรายก่อนหน้านี้ซึ่งศาลให้ประกันตัว ทำให้ทักษิณ และทนายความที่แวดล้อมยกขึ้นมาเป็นเหตุที่ทักษิณ น่าจะมีโอกาสได้ประกันตัวสูง แต่ในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งกลับมีข้อสังเกตที่ทำให้ถูกประเมินว่าทักษิณ อาจเลือกที่จะหนี เพราะเคยหนีมาแล้ว อีกทั้งเขาเองยังมีเครื่องบินส่วนตัว มิหนำซ้ำวันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า เจ้าตัวยังอยู่ในบ้านจันทร์ส่องหล้าอยู่หรือไม่

เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่อัยการสูงสุด 29 พฤษภาคม หากเขามีความมั่นใจ คงไม่ส่ง ทนายความยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดี ม.112 โดยให้เหตุผลว่าติดโควิด แต่ “ประยุทธ เพชรคุณ”  โฆษกอัยการสูงสุด ยืนยันว่าไม่ว่าเจ้าตัวจะมาหรือไม่ก็ไม่มีผล เพราะอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องทักษิณ ในทุกข้อกล่าวหา และนัดให้วันที่ 18 มิถุนายน ทักษิณ ต้องมาพบ เพื่อนำตัวยื่นฟ้องต่อศาล

ดังนั้นจึงยังบอกไม่ได้ว่า ทักษิณ และทนายความใกล้ชิด จะมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ ทักษิณ จะรอดพ้นจากการถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ และจะได้รับการประกันตัว ยิ่งเมื่อมีการนำมาผูกโยงกับ “สัญญาณ” อันไม่ปกติ ด้วยปฏิบัติการ “ล้มนายกฯ”  จาก “40สว.” จนกลายเป็นการนำพาเศรษฐา เข้าสู่ “มุมอับ” ติดบ่วงคดีถอดถอน ในเวลานี้ 

ส่วนหนึ่งถูกจับตาว่า “ดีลลับ” อาจจะหมดอายุ  และ “ขั้วอำนาจเก่า” เริ่มไม่พอใจต่อการแสดงออกอันท้าทายของทักษิณ ด้วยเหตุนี้ จึงนำมาสู่การ “สอยนายกฯ” หากบรรลุเป้าหมาย ครม.ต้องไปทั้งคณะ ! โอกาสที่จะเกิดจุดพลิกผัน ทางการเมืองถึงขั้นเปลี่ยนตัวนายกฯ ใช่จะไม่เกิดขึ้น อย่าลืมว่า เวลานี้ยังมี “แคนดิเดตนายกฯ” เหลืออยู่ ให้โหวตกันใหม่ในสภาฯ

แต่หนึ่งในแคนดิเดตนายกฯที่ยังมีอยู่ตามบัญชีรายชื่อ

แม้จะปรากฏ “พิธา”  และเจ้าตัวเพิ่งประกาศว่า เขา “พร้อม” หากเศรษฐา เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจริง ทว่า พิธา อย่าลืมว่า พรรคก้าวไกล ยังอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจาก “ลูกผีลูกคน” รอลุ้นคดียุบพรรค กรณีล้มล้างการปกครอง

และในคดีนี้ ดูเหมือนว่าโอกาสที่พรรคก้าวไกล จะรอดพ้น มีความเป็นไปได้น้อยมาก ! เมื่อก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัย ว่าการกระทำของ พิธา และพรรคก้าวไกล  มีพฤติการณ์ ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสั่งการให้ "เลิกการกระทำ" เลิกการแสดงความคิดเห็น เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาแล้วเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 แต่ครั้งนั้นศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้สั่งให้ “ยุบพรรค” เนื่องจากในตอนนั้นตามคำร้องของ “ธีรยุทธ สุวรรณเกสร” ทนายความอิสระ ผู้ร้องได้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ “วินิจฉัย” เท่านั้น แต่นี่คือ “สารตั้งต้น” ที่นำมาสู่ การยื่นคำร้องโดย กกต.เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคก้าวไกล พร้อมทั้ง ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ตามมา

ด้วยเหตุนี้ จึงเท่ากับว่าคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ นับจากวันที่ 12 มิถุนายนนี้ไป คือ “เอฟเฟกซ์” ที่คนในพรรคต่างรู้กันเต็มอกว่าจะออกมาหน้าใด  แม้แกนนำพรรคหลายต่อหลายคน ยังแสดงความเชื่อมั่น รวมทั้งยังประเมินในทางการเมืองว่า “ขั้วอนุรักษ์นิยม” เองใช่ว่าจะเลือกแทงม้าตัวเดียว ด้วยการเลือก “พรรคเพื่อไทย” มาล้ม “พรรคสีส้ม” แต่การมี พรรคก้าวไกลเอาไว้ ก็เพื่อ “ต่อรอง” และ “กดดัน” ฝั่งพรรคเพื่อไทยและอดีตนายกฯทักษิณ เอาไว้อีกทาง

อย่างไรก็ดี ทั้งทักษิณ เศรษฐา และพรรคก้าวไกล ต่างอยู่ในสถานการณ์ที่ต้อง “ลุ้นระทึก” ทั้งชะตากรรมของตัวเอง ที่จะกระทบขยายวงกว้างไปถึง องคาพยพในมือของตัวเองแทบทั้งหมด แต่เหนืออื่นใด พวกเขาต่างถูกดึงเข้าสู่ “แดนอันตราย” ไม่ต่างกัน !