หลังผ่านพ้นการปรับครม. เศรษฐา 1/1 สุทิน  คลังแสง  รมว.กลาโหม ก็ยิ้มได้ และมีความมาดมั่น  ในการเดินหน้าเต็มสตรีม ตามนโยบายที่วางเอาไว้ เพราะโล่งใจไป เปลาะหนึ่ง ที่ยังรักษาเก้าอี้ สนามไชย 1 ไว้ได้  แถม เรื่องหุ้นของภรรยา ก็เคลียร์ตามก.ม.ตั้งแต่ต้น ไม่ทำให้ตกม้าตาย หรือตกเก้าอี้ ในภายหลัง

แต่หาก เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รอดจากคดีศาลรัฐธรรมนูญชี้เรื่องแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ก็ต้องตามมาด้วยการปรับคณะรัฐมนตรี ที่ว่างอยู่ กฤษฎา จีนะวิจารณะ  รมช.คลัง และอาจส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนในบางตำแหน่งเพิ่มเติม

เพราะหาก เศรษฐา รอดจากคดีศาลรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะด้วยอภินิหารทางกฎหมายใดก็ตาม ก็เป็นการสะท้อนว่า ดีล ยังคงอยู่  แต่ฝ่าย เศรษฐา หรือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเอง ก็ต้องตอบสนองดีลให้มากขึ้น

โดยเฉพาะการทวงดีล เรื่องเก้าอี้รมว.กลาโหม หรือ รมช. ที่อาจจะต้องตอบสนอง กันทันที เพราะเป้าหมายของขั้ว อนุรักษ์นิยม ก็ยังต้องการให้ ทหารมาเป็น รมว.กลาโหม หรืออย่างน้อยก็ รมช. กลาโหม

อีกทั้งเป็นจังหวะที่ต้องการจะมาจัดบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล ประจำปีหรือที่เรียกว่าโผทหาร ที่คราวนี้จะมีการแต่งตั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.ทร.คนใหม่ แม้ว่าจะมีพรบ.กลาโหม 2551  คอยป้องกันไม่ให้ฝ่ายการเมืองล้วงลูก ได้อยู่แล้วก็ตาม แต่ ขั้วอนุรักษ์นิยมก็ยังห่วงกองทัพ ยังต้องการให้ฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เข้ามามีส่วนในการแชร์อำนาจหรือตำแหน่งเก้าอี้ในกองทัพ

โดยเฉพาะเก้าอี้ ผบ.ทบ. ที่จะชี้ชะตาว่่า ในอนาคต จะมีการปฏิวัติรัฐประหารหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายการเมืองยากที่จะแทรกแซงได้ เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายเป็นอำนาจของบอร์ด 6 เสือกลาโหม ที่มีทั้งรมว.กลาโหม ปลัดกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  ผบ.ทบ. ผบ.ทร. และผบ.ทอ.

ดังนั้น ก็ใช่ว่าเก้าอี้ของ สุทิน จะแข็งแรงมั่นคง เพียงแต่ได้เปรียบในเรื่องภาพลักษณ์ของการเป็น รมว.กลาโหม พลเรือน  ที่อาจจะยื้อเวลาออกไปได้บ้าง

แต่ในเวลานี้ สุทิน ก็เร่งสตรีม ในการทำตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้  ทั้งการเพิ่มจำนวนทหารสมัครใจให้มากขึ้นถึงขั้น สุทิน ต้องเดินสายลงพื้นที่หน่วยทหาร เพื่อเยี่ยมทหารใหม่ของแต่ละหน่วย และพูดคุยให้ไปชักชวนรุ่นน้องมาสมัครใจเป็นทหาร

รวมทั้งการดึง อินฟลูเอนเซอร์คนรุ่นใหม่ มาทำคอนเทนต์กิจกรรมในค่ายทหารโดยเฉพาะการเยี่ยมทหารใหม่ เพื่อให้ช่วยนำไปประชาสัมพันธ์ให้คนที่ต้องการจะเป็นทหารมาสมัครในปีหน้า เพื่อให้ข้อมูลเข้าถึงชายไทยที่กำลังจะเกณฑ์ทหาร

นอกจากนั้น ในเร็วๆนี้ สุทิน จะร่วมมือกับทางตำรวจ และทหารในการเปิดปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด ลอตใหญ่ ทั่วประเทศ  ตามนโยบายรัฐ  แบบถอนรากถอนโคน ที่รายละเอียดยังคงถูกปิดอยู่เป็นความลับ

แล้วจะตามมาด้วยการปฏิรูประบบการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ  ที่จะมีคณะกรรมการกลาง ในส่วนกลาโหม ที่มีตัวแทนแต่ละเหล่าทัพร่วมด้วย ร่วมพิจารณาตัดสินใจว่าแต่ละเหล่าทัพจะจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ใด ในแต่ละปี เพื่อไม่ให้งบประมาณโป่งพองจนเกินไปและเป็นไปตามยุทธศาสตร์ ส่งผลให้ทุกเหล่าทัพต้องร่าง “สมุดปกขาว” จากเดิมที่กองทัพอากาศเคยทำเป็นเหล่าทัพแรก ก็ตามมาด้วยกองทัพเรือ กองทัพบก กองบัญชาการกองทัพไทย และกระทรวงกลาโหม

หลังจากที่ สุทิน ได้แก้ไขปัญหาเรือดำน้ำจีน ที่คั่งค้างมายาวนาน สำเร็จแล้ว ด้วยการยอมเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์จีน และเดินหน้าต่อโครงการเรือดำน้ำเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไทย-จีน อีกทั้งเป็นความต้องการของกองทัพเรือที่ต้องการได้เรือดำน้ำจีนด้วย

แต่ เรื่องสำคัญที่รออยู่ คือการแก้ไขพระราชบัญญัติกลาโหม 2551 ที่ร่างของ กลาโหม กำลังถูกจับตามองว่าในที่สุดจะได้รับเลือกให้เป็นร่างของฝ่ายรัฐบาลหรือไม่เพราะยังมีร่างของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย แต่ร่างของกระทรวงกลาโหม จะถือว่าเดินทางสายกลาง เพราะร่างโดยแต่ที่น่าจับตามอง คือการประชุมสภากลาโหมในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเดิมมี วาระที่คณะกรรมการฯ จะต้องชี้แจงในที่ประชุมโดยจะให้ “บิ๊กอั๋น” พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ที่ปรึกษากลาโหมในฐานะประธาน คณะกรรมการยกร่างแก้ไขพระราชบัญญัติกลาโหม เป็นคนบรรยายพิเศษ เพื่อรับฟังความเห็นของสมาชิกสภากลาโหมและผู้บัญชาการเหล่าทัพปรากฏว่าวาระนี้ก็ได้ถูกเลื่อนออกไป

อีกประเด็นร้อนคือ เรื่องการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมรวมทั้งคดีความผิดตามมาตรา 112 ของพรรคเพื่อไทย ที่กำลังถูกจับตามองและโจมตีว่า อาจทำเพื่อช่วย ทักษิณที่โดนคดี 112 ด้วย

โดย สุทิน เปิดเผยว่า จะรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายรวมทั้งกองทัพต้องฟังความคิดเห็น ของผู้บัญชาการเหล่าทัพโดยจะมีทั้งรูปแบบที่เป็นไปตามขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น

รวมทั้งการพูดคุยส่วนตัวกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ และการนำเข้าหารือในที่ประชุมสภากลาโหม ในส่วนของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคง ที่จะพิจารณาในเรื่องนี้

ทั้งนี้เพราะ ในยุคที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเคยพยายามผลักดัน พรบ.นิรโทษกรรม มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นสาเหตุหนึ่งของการถูกปฏิวัติรัฐประหาร

แต่ทว่าบริบทในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว เป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้ว ที่ไม่ใช่จะห้ำหั่นกันเองแล้วแต่ต้องจับมือกันสู้กับพลังสีส้ม เพื่อลดปัญหาความวุ่นวาย ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

และ สุทิน จะเชื่อว่าการออกพรบ.นิรโทษกรรม ในครั้งที่จะรวมมาตรา 112 นั้นจะเป็นสาเหตุของการปฏิวัติรัฐประหาร ซ้ำรอยอดีตเพราะปัจจุบันไม่สามารถ ทำได้ง่ายๆ

แม้จะมีการปลุกปั่น กระแสข่าวปฏิวัติรัฐประหารให้ดูน่ากลัวและข่มขู่ฝ่ายการเมือง ให้หวาดระแวงในดีล ด้วยเพราะตอนนี้ต้องปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามเกมก่อน

เพราะในเวลานี้ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนต่าง นิ่งสงบ  เพราะไม่ต้องการพูดหรือแสดงออกหรือเคลื่อนไหวใดและทำให้เกิดการตีความและเข้าใจผิดเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร

ที่สำคัญผู้บัญชาการเหล่าทัพ รู้ดีว่าการปฏิวัติรัฐประหาร ในยุคสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้อีก และไม่มีความคิดที่จะกระทำเช่นนั้น