เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.67 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้โพสต์เฟซบุ๊ค " Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์" ระบุว่า ขยับใกล้ 18 มิ.ย. วันนัดฟ้องคดี 112 เสียงคำรามรำคาญลั่น “ใครอย่ามาขวาง” ดังเข้าหู เขย่าใจปอดกลัวคุกจนร่วงระนาว เมื่อไม่มีใครกล้าเอาคอมาพาดเขียงการันตีให้ ส่วน “จตุพร” ขอให้ทักษิณกล้าไปลุ้นวัดการประกันตัวที่หน้าศาล พร้อมเตือนเพื่อไทยอย่าแอบยัดไส้นิรโทษกรรมช่วย หวั่นทำลาย ปชช. ย้อนรอยกฎหมายเหมาเข่งสุดซอยตามหลอนอีกครั้ง

เมื่อ 6 มิ.ย.2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า โดยทั่วไปแล้ว การออกกฎหมายนิรโทษกรรมมักสำเร็จเสมอ มีเพียงครั้งนิรโทษกรรมเหมาเข่งสุดซอยเมื่อปลายปี 2556 ที่พังพินาศย่อยยับ เพราะขยายนิรโทษกรรมจากให้กับประชาชน ไปพ่วงให้นักโทษหนีคดีทุจริตและบ่งการฆ่า-เผ่าไปด้วย แต่ท้ายที่สุดประชุมสภาใช้พวกมากลากไปลักหลับผ่านวาระสามช่วงตี 4-5 จนเป็นเหตุให้ประชาชนชุมนุมต่อต้านเต็มถนน และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้

อีกทั้งกล่าวว่า การเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยจนทำให้รัฐบาลพังเพราะเอาเรื่องทักษิณ ชินวัตร มาเกี่ยวข้อง ดังนั้น มาครั้งนี้ตนเคยเตือนพรรคการเมืองไม่ควรตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษา ถ้าจะตัดสินใจเสนอแล้ว ต้องกล้าออกเป็นพระราชกำหนด (พรก.) นิรโทษกรรม ด้วยจิตใจที่ยิ่งใหญ่กว้างขวางจึงจะสำเร็จ

"แต่ด้วยจิตใจไม่ใหญ่พอ จึงตั้งคณะกรรมาธิการซื้อเวลา จนวันนี้มาติดเรื่องทักษิณ เข้าอีก จึงเกิดกระแสคัดค้านการนิรโทษกรรมคดี 112 จึงทำให้ยากลำบากเป็นทวีคูณที่จะทำสำเร็จ แล้วยังจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งครั้งใหญ่เสียอีก ถ้าไม่ตกลงและคุยกันอย่างเข้าใจแล้วย่อมจะพากันพังและร่วงระนาวทั้งกระดาน"

พร้อมติงว่า ทักษิณ เมื่อกลับไทยแล้ว ควรอยู่นิ่งๆ เงียบๆ เพื่อไม่ก่อกระแสหมั่นไส้ เพราะอดีตเคยทำให้เกิดความขัดแย้งมากมายจนประชาชนล้มตายจำนวนมาก อีกอย่างยังได้รับอภัยโทษเฉพาะรายลดโทษเหลือ 1 ปี แต่ไม่ยอมติดคุกสักวัน แล้วได้รับพักโทษกรณีพิเศษอายุเกิน 70 ปีช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ กลับเดินสายออกนอกพื้นที่ควบคุมความประพฤติไปเชียงใหม่ แอบเจรจาชนกลุ่มน้อย ไปภูเก็ต แล้วย่องไปเจรจากับนายกฯ มาเลเชีย โดยทำให้บ้านเมืองวุ่นวายปั่นป่วนไปหมด และไม่ยึดมั่นดีลที่ทำกันไว้

นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้มีคำพูดทางลับหลากหลายคำและมากพยางค์ที่ฝ่ายอำนาจบางฝ่ายไม่พอใจทักษิณ และคำพูดนี้ได้เข้าหูตน แล้วเชื่อว่าทักษิณคงได้ยินเช่นกัน ดังนั้น คู่ดีลที่ผ่านมาล้วนหมดอารมณ์พูดคุยกันใหม่ เกิดความรำคาญ ขัดหูขัดตา แล้วยังเจ็บและอาย จึงต้องการให้เรื่องราวของทักษิณจบๆ กันไปโดยเร็ว

สิ่งสำคัญ พฤติกรรมทักษิณ ที่แสดงออกเกินดีลไปอย่างไม่ยี่หระ มันทำลายกระบวนการยุติธรรมและทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของพระบรมราชโองการ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ถ้าใจแข็งมาศาลในสถานการณ์นี้ ผลจึงไม่ง่ายจะได้ตามใจต้องการ

“ในบางเวลา บางคนอาจทำบางเรื่องได้ง่ายดาย แต่ไม่ใช่เวลานี้ มันไม่ใช่เวลาของเขา ที่สำคัญเรื่องนี้มาไกลเกินกว่าที่ใครจะมาการันตีได้ ใครจะเอาคอไปพาดเขียงได้ ไม่ว่าอดีตคุณจะใหญ่ถึงเพียงใดก็ตาม แต่ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า เรื่องนี้มันกระทบเกินกว่าที่ใครคนใดคนหนึ่ง หรือสองคนสามคนจะช่วยให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปได้ เพราะคอของคุณก็ไม่มีค่าเพียงพอที่จะไปพาดเขียงแล้วให้เกิดการเปลี่ยนใจได้ และต้องรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีใครช่วยได้”

อีกทั้งย้ำว่า สถานการณ์วันที่ 18 มิ.ย.นี้ ตนหวังให้ทักษิณมาขึ้นศาลคดี ม.112 แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่ แต่เชื่อว่าจะไม่มา เพราะอะไรก็ตามถ้าไม่มีความมั่นใจ 100% เหมือนกับการประกาศกลับไทยยังถูกเลื่อนมาตลอดตั้งแต่ปี 2555 เนื่องจากข่าวดีย่อมมาก่อนข่าวร้ายขณะขึ้นเครื่องทุกครั้งช่วง 17 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น สถานการณ์ขณะนี้จึงไม่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม มาครั้งนี้ ถ้าใช้ความนิ่งอยู่ให้คนเห็นใจ ไม่ให้คนหมั่นไส้ และอยู่โดยการทำลายสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่กลับมาเพราะสำนึกแล้วจริงๆ เหมือนที่เขียนไว้กับการถวายฎีกาว่า เคารพต่อกระบวนการยุติธรรม ยอมรับว่ากระทำความผิดจริงและได้สำนึกแล้ว คนไทยก็พร้อมให้อภัย แต่เผลอแป๊บเดียวไปเชียงใหม่บอกว่าคนยัดข้อหาไว้เยอะ แสดงว่า ที่ยื่นถวายฎีกาและบันทึกไว้ในพระบรมราชโองการหมายความว่าอย่างไร มันจึงย้อนแย้ง จนคู่เจรจาจะรับไหวเหรอ

นายจตุพร เชื่อว่า โอกาสที่จะไม่มาในวันที่ 18 มิ.ย. สูงมาก แต่ไม่ถึงขั้นจินตนาการว่า ต้องเหมาเรือออกทะเลข้ามไปฝั่งกัมพูชาอย่างนั้น เพราะระดับอดีตนายกฯ ทักษิณ คงไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น แม้อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวบอกไม่กังวลเพราะเป็นผลพวงจากการรัฐประหาร อัยการสูงสุดก็มาจากรัฐประหาร ก็พูดไปได้ แต่ถ้ามีสติจะไม่กล้าพูด เพราะรัฐบาลชุดนี้ก็เกิดขึ้นจากคณะรัฐประหารเช่นกัน อีกอย่างยังพูดให้ยอมรับว่า ถ้านายวิษณุ เครืองาม ถ้าเศรษฐา ทวีสิน อยู่ไม่ได้ รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ สภาก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งพูดแต่ละครั้งก็เกิดความเสียหายทั้งสิ้น

“ในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ อย่างไรก็ต้องร่วง เพราะไม่แน่ใจว่า การดีลต่างๆ ยังจะมีคนบ้าขาดสติไปดีลกันต่อหรือเปล่า ถ้ายังดีลกันจนถึงขนาดโง่ซ้ำซากไม่เลิก ผมว่าเขาต้องพิจารณาตัวเองเหมือนกัน แต่สถานการณ์ได้เดินมาถึงจุดที่คนเหล่านั้นรับกันไม่ไหวแล้ว จนถึงขนาดเสียงดังคำรามใครก็อย่าขวางก็แล้วกัน”

พร้อมกับกล่าวว่า ถึงขณะนี้ แม้มีชื่อบุคคลใหญ่โตมาอ้าง แต่ไม่ง่ายกับการดีล เพราะสถานการณ์เปลี่ยน เวลาเปลี่ยน ปัจจัยต่างๆ ได้เปลี่ยนเบ็ดเสร็จด้วย ความยิ่งใหญ่ที่ไปได้ทุกที่เหมือนเมื่อก่อนนั้น บัดนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 

ดังนั้น ตนจึงไม่แน่ใจว่า วันที่ 8 มิ.ย.นี้ ทักษิณจะไปที่ปทุมธานีหรือไม่ หรือถ้าไป ก็ไม่ได้หมายความว่า วันที่ 18 มิ.ย. จะกล้าไปที่อัยการสูงสุด เพื่อถูกนำตัวไปฟ้องศาลฟ้องคดี ม. 112 และเหตุอันมีพฤติกรรมหลบหนีในหลายครั้งจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ และไม่มีใครกล้าการันตี 100% แต่ตนก็อยากให้ไปศาลตามอัยการนัดเพื่อไปลุ้นใจกัน จะได้ซึมซับและลิ้มรสความเจ็บปวดของคนที่ต่อสู้ให้กันมา จนมีความตายและบาดเจ็บ มีความยากลำบากในชีวิตอย่างไร

ส่วนคดีพรรคก้าวไกล นายจตุพร กล่าวว่า ถึงนายเศรษฐา มีอันเป็นไปก็ตาม แต่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าก้าวไกล ยืนยันไม่จับมือพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นท่าทีการเมืองที่ฉลาด และชัดเจน เพราะอาจเข้าใจกับเหตุร้ายทางการเมืองที่มาจากเกาะฮองกงกรณีข่าวลือพรรคก้าวไกลไปจับมือเพื่อไทย ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญ

นอกจากนี้กรณีคดีของนายเศรษฐา ที่ศาล รธน. นายจตุพร กล่าวว่า กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีที่ไม่ครบจึงมีเจตนาจงใจให้ระคายเคืองและต้องรับผิดชอบกับการนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ ดังนั้น ผลปลายทางย่อมมีโอกาสร่วงมากกว่ารอด


#จตุพรพรหมพันธุ์ #ทักษิณชินวัตร #มาตรา112 #เศรษฐาทวีสิน #ข่าววันนี้