วันที่ 5 มิ.ย. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมากรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ศาลปกครองกลางส่งคำโต้แย้งของ  น.ส.วิเตือน งามปลั่ง   ในคดีหมายเลขดำที่ 899/2567    และคำโต้แย้งของผู้ฟ้องคดีที่ 1-5   นำโดย   นายฤทธิชัย ศรีเมือง    ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาประจำอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช  นายเฉลิมชัย ผู้พัฒน์  ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาประจำอำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี นายสิทธิชัย ผู้พัฒน์  ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาประจำอำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี  นายจำนอง บุญเลิศฟ้า  ผู้สมัคร รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาประจำอำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี    และนายสากล พืชนุกูล  ผู้สมัครรับเลือก เป็นสมาชิกวุฒิสภาประจำอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช     

 

ในคดีหมายเลขดำที่ 92/2567    ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มาตรา 212 ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561    มาตรา 36 มาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 หรือไม่ 

 

 

โดยศาลอภิปรายแล้ว เห็นว่า เนื้อหาคำโต้แย้งของผู้ฟ้องคดีทั้งสองคดีเป็นกรณีโต้แย้งว่า พ .ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 36 มาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 บทบัญญัติดังกล่าว เป็นบทบัญญัติที่ศาลปกครองกลางจะใช้บังคับแก่คดี 

 

เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองคดีโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่า บทบัญญัติดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินี้     กรณีเป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคหนึ่ง 

 

จึงมีโดยมติเสียงข้างมาก 8  ต่อ 1 มีคำสั่งรับคำร้องทั้งสองไว้พิจารณาวินิจฉัย เฉพาะประเด็นว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง (3) มาตรา 41 วรรคหนึ่ง (3) และมาตรา 42 วรรคหนึ่ง (3) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107  หรือไม่  โดยรวมการพิจารณาทั้งสองเรื่องเข้าด้วยกัน และเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำความเห็นเป็นหนังสือตามประเด็นที่ศาลกำหนดและจัดส่งสำเนาเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 5 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

 

ส่วนที่ผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งมาตรการหรือวิธีการ ใด ๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ายังไม่ปรากฏว่าจะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง    ที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง   อีกทั้งหาก   กกต.เห็นว่าจะเกิดความเสียหายดังกล่าว   ย่อมมีหน้าที่และอำนาจที่จะดำเนินการได้ตามรัฐธรรมนูญและ  พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561   ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่กำหนดมาตรการหรือวิธีการใดๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย

 

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 4   มาตราที่มีการร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มาตรา 36 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้ผู้สมัคร  แนะนำตัวได้ตามวิธีการและเงื่อนไขที่ กกต.กำหนด    หรือบุคคลอื่น ซึ่งไม่ใช่ผู้สมัคร จะช่วยเหลือผู้สมัครในการแนะนำตัวต้องปฏิบัติตามวิธีการและเงื่อนไขที่กำหนด

 

 ส่วนมาตรา 40 วรรคหนึ่ง (3) มาตรา 41 วรรคหนึ่ง (3)  และมาตรา 42 วรรคหนึ่ง (3) เกี่ยวข้องกับวิธีการเลือกระดับอำเภอ ระดับจังหวัดและระดับประเทศ ที่กำหนดให้ผู้สมัครแต่ละกลุ่ม  ผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอ ผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัด ลงคะแนนเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกิน 2 และไม่เกิน10 คน    โดยจะลงคะแนนเลือกตนเองก็ได้แต่จะลงคะแนนให้บุคคลใดเกิน 1 คะแนนมิได้  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107  หรือไม่