“ในโลกปัจจุบันเราไม่สามารถหนีพ้นความเป็นดิจิทัล แต่ใครจะวิ่งได้เร็วกว่า พร้อมก้าวเข้าสู่การเรียนรู้ และอยู่ในโลกดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบ มีประสิทธิภาพ และไม่ถูกหลอก คนไทยควรตระหนักถึงความสำคัญและมหาวิทยาลัยควรมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย”

คำกล่าวตอนหนึ่งของ รศ. ดร.พีรเดช ทองอำไพ ผู้อำนวยการสถาบันคลังสมองของชาติ ในเวที“DU Forum เปิดนิเวศมหาวิทยาลัยดิจิทัล” ณ ห้องประชุมกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ถนนศรีอยุธยา ที่จัดโดยโครงการการสร้างนิเวศสู่ความเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล เพื่อสร้างพื้นที่พบปะ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เปิดประตูสู่การสร้างความรู้จัก พัฒนาเครือข่ายนิเวศมหาวิทยาลัยดิจิทัลทั่วประเทศสร้างการเชื่อมต่อและผนึกกำลังกับเครือข่ายทั้งภาคการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรภาคเอกชน

ทั้งนี้สถาบันคลังสมองฯ ได้สนับสนุนให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ มุ่งสู่การเป็น ‘มหาวิทยาลัยดิจิทัล’เต็มรูปแบบ จึงต้องมีเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบความพร้อม ขณะเดียวกันก็ต้องดูว่าสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่มหาวิทยาลัยจะขับเคลื่อนไปได้เร็วที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดควรจะมีองค์ประกอบใดบ้างเพราะระบบนิเวศดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย เป็นเครือข่ายที่เดินไปด้วยกันโดยไม่โดดเดี่ยว

ขณะที่ อ.ดนัยรัฐ ธนบดีธรรมจารี ผู้ดูแลโครงการการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไทยสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัล ระบุว่า ความสำคัญของการเชื่อมโยงระบบนิเวศดิจิทัล ประการแรกคือ การแบ่งปันทรัพยากร ซึ่งจะทำให้เห็นชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยใดได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง เพื่อไม่เกิดความซ้ำซ้อน ประการต่อมาคือ การนำไปใช้ให้ตรงกับพื้นที่ของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งที่มียุทธศาสตร์เป้าหมายของตน ประการสุดท้ายการขับเคลื่อนขององค์กรต่าง ๆ จะต้องมุ่งไปที่วัตถุประสงค์เป็นสำคัญมากกว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงต้องทำให้ผู้บริหารระดับบนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างตรงจุด ทั้งยังเป็นการเหลาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่มักเรียกกันว่า ‘หัวสี่เหลี่ยม’ ให้กลมขึ้น ก่อนขับเคลื่อนองคาพยพทั้งประเทศต่อไป

สำหรับการเชื่อมโยงกับหน่วยงานภายนอกนั้น ในอดีตมองว่าเป็นโลกของการแข่งขัน แต่ในความเป็นจริงมี 3 สิ่งที่สำคัญ ได้แก่ 1) ความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์ที่ไม่มีใครแย่งไปได้ จึงต้องหาให้เจอว่าเราเก่งเรื่องอะไร 2) พันธมิตร มีหลายส่วนที่เพื่อนถนัดกว่าเรา การมีเพื่อนเข้ามาอยู่ร่วมวงจะทำให้อัตลักษณ์ของเรามี
ความแข็งแรงและมั่นคงมากขึ้น 3) กลุ่มดิจิทัลที่เชื่อมโยงการทำงาน เพื่อให้เห็นระยะเวลา ความเร็วและน้ำหนักของงาน

ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการเชื่อมต่อระบบนิเวศดิจิทัล อันดับแรกจะต้องเป็นลูกค้าหรือผู้รับบริการของมหาวิทยาลัย ทำให้นักศึกษามีทางเลือก ขณะที่มหาวิทยาลัยเองยังสามารถประหยัดสุดและประโยชน์สุด เพียงแค่กะเทาะกรอบความคิดจากการแข่งขันเป็นการแบ่งปัน สิ่งที่จะได้กลับไปคือมหาวิทยาลัยจะกลายเป็นคลัสเตอร์ต้นแบบของโลกที่ทำให้เราก้าวไปด้วยกันและไปได้ไกล นั่นคือ คลัสเตอร์ของความสามารถทางเทคโนโลยีในโลกแห่งความจริง มิใช่เพียงนำข้อมูลมาแปะแล้วแต่งตัว

“เราต้องเชื่อมเป้าหมาย เชื่อมกระบวนงาน แล้วจึงเชื่อมเทคโนโลยี ถ้าเรากลัดกระดุมไปที่เทคโนโลยีก่อน หลายครั้งจะเจอคำว่าโมฆะ แต่ดิจิทัลจะช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อไปสู่ความร่วมมือ ทำให้คุยกันได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นจะช่วยให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เราต้องเริ่มต้นจากการใส่ใจตัวเอง ใส่ใจคนอื่นให้เป็น หาตัวเองให้เจอ จึงจะหาคนอื่นมาหนุนเสริมได้ถูกต้องโดยไม่มีใครถูกทิ้งให้เสียเปรียบ และต้องยุติธรรมต่อกัน สุดท้ายต้องแบ่งปันข้อมูลและเทคโนโลยี ทั้งนี้จะต้องหาให้เจอว่าสิ่งที่ทำมีเป้าหมายอะไร ระยะที่สองจะเกิดอะไรขึ้นด้วยหลักการ care, fair และ share”

ส่วนแนวทางการทำงานร่วมกันในเชิงนโยบายนั้น ดร.วรา วราวิทย์ คณบดีคณะเทคโนโลยีดิจิทัล สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา และประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนสู่ความเป็นดิจิทัล ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทุกมหาวิทยาลัยมีนโยบายในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยดิจิทัล โดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ จึงจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนภารกิจ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ช่วยกันทำงานเพื่อสร้างความตระหนัก แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และองค์ความรู้ต่าง ๆ ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์ การใช้ดิจิทัลไอดี และการสร้างสถาปัตยกรรมองค์กรซึ่งจะทำให้มหาวิทยาลัยของไทยในภาพใหญ่สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยไม่มีความแตกต่างในการพัฒนาดิจิทัลมากนัก ทั้งนี้การพัฒนาดิจิทัลได้ผ่านมาหลายคลื่นแล้ว แต่ในยุคนี้เป็นโอกาสที่สำคัญเนื่องจากเรามีคนที่มีความรู้และมีกำลังคนด้านดิจิทัลพอสมควรที่จะช่วยกันขับเคลื่อน เพื่อให้การศึกษาของไทยก้าวสู่ยุคใหม่ และพัฒนากำลังคนศักยภาพสูงต่อไปในอนาคต

รศ. ดร.บวร ปภัสราทร ว่าที่ผู้อำนวยการสถาบันคลังสมองของชาติ กล่าวย้ำว่าตนจะสานต่อนโยบายมหาวิทยาลัยดิจิทัล โดยเสริมบทบาทใหม่ของมหาวิทยาลัยไทยในโลกปัจจุบัน จากเดิมที่ต้องมาเรียนกันในรั้วมหาวิทยาลัยถึงจะได้รับปริญญา แต่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัลจะทำให้ทุกคนทุกช่วงอายุได้เพิ่มทักษะของตัวเองให้มีความสามารถในการทำงานหรือการจ้างงานมากขึ้น ประเทศไทยต้องการทักษะนี้เป็นอย่างมากเนื่องจากเรากำลังมีปัญหาเรื่องวัยแรงงานที่มีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

“บทบาทของสถาบันคลังสมองฯ จะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อสร้างความร่วมมือในการสร้างมหาวิทยาลัยไทยให้มีความเข้มแข็งด้านดิจิทัล ช่วยขับเคลื่อนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของไทยในบริบทของดิจิทัล ให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น ให้คนทุกช่วงวัยมีโอกาสได้งานมากขึ้น ทั้งนี้ผลจากการวิจัยของตนยืนยันได้ว่าคนไทยยอมรับเทคโนโลยีใหม่ได้รวดเร็วมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ความจริงคือเรารับเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้โดยที่ยังเข้าใจแก่นของเทคโนโลยีได้น้อยมาก จึงขอฝากว่าเราต้องใช้เทคโนโลยีแต่อย่าตกเป็นทาส อย่าหลงกลโดยเด็ดขาด” รศ. ดร.บวรกล่าวทิ้งท้าย