รามาฯ จัดงานวันงดสูบบุหรี่โลก เตือนภัย บ.บุหรี่ไฟฟ้า ใช้สารนิโคตินใหม่ “เกลือนิโคติน” ไม่แสบคอเหมือนบุหรี่ธรรมดา ทำให้เด็กสูบง่ายขึ้น ย้ำ อันตรายเทียบเท่าเฮโรอีน ทำลายสมองเด็ก-เยาวชน ขอรัฐบาล คง กม. ห้ามนำเข้า ห้ามขาย ห้ามซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้า ป้องกันสุขภาพอนาคตของชาติไม่ตกเป็นเหยื่อสิ่งเสพติด

วันที่ 31 พ.ค.67 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดงานวันงดสูบบุหรี่โลกภายใต้หัวข้อ “บุหรี่ไฟฟ้า วิกฤตสุขภาวะเยาวชนไทยและกลยุทธ์ชนะสงครามบุหรี่ไฟฟ้า” พร้อมทั้งประกาศเจตนารมณ์โรงพยาบาลรามาธิบดีไม่สนับสนุนการใช้บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ ย้ำสำหรับเด็กและเยาวชนบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายมากกว่าบุหรี่ธรรมดา

ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ อาจารย์ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าของไทยขณะนี้เปรียบเสมือนสึนามิที่กำลังทำลายล้างเด็กไทย ขณะนี้พบเด็กอายุน้อยกว่า 10 ขวบสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันแล้ว เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่ลวงตาของบุหรี่ไฟฟ้าที่ดึงดูดเด็ก ๆ เป็นรูปการ์ตูน มีกลิ่นหอม โดยไม่รู้เท่าทันว่าบุหรี่ไฟฟ้านั้นมีสารนิโคตินที่มีฤทธิ์เสพติดสูงเทียบเท่าเฮโรอีน และยังออกฤทธิ์ทำลายสมองเด็ก ทำให้เด็กมีปัญหาการเรียนรู้ คิดช้าลง ความจำแย่ลง ทักษะการตัดสินใจและแก้ปัญหาบกพร่อง และควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ซ้ำยังเสี่ยงต่อการไปใช้สิ่งเสพติดอื่น ๆ เช่น กัญชา ยาบ้า 

“คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เห็นพ้องกับราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมโรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤตในเด็กแห่งประเทศไทย และสมาคมกุมารประสาทวิทยา (ประเทศไทย) ว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยต่อเด็กและเยาวชน และขอฝากไปถึงรัฐบาลให้คงกฎหมายห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย และห้ามลักลอบซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าเพราะเป็นมาตรการที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับประเทศไทยที่จะป้องกันการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน” ศ.พญ.สุวรรณา

ด้าน พญ.นภารัตน์ อมรพุฒิสถาพร อาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ รูปการ์ตูน หรือ ทอยพอต ใส่สารนิโคตินแบบใหม่ เรียกว่าเกลือนิโคติน ที่ทำให้เด็กยิ่งสูบง่ายขึ้น เพราะไม่แสบคอเหมือนสูบบุหรี่ธรรมดา ยิ่งทำให้เด็กติดนิโคตินง่ายและรุนแรงขึ้น จากงานวิจัยที่ติดตามวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเวลา 4 ปี พบว่า วัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น โดยเสี่ยงต่ออาการหอบหืดกำเริบเพิ่ม 1.8 เท่า เสี่ยงต่อโรคหลอดลมอักเสบเพิ่ม 2.1 เท่า และเสี่ยงต่ออาการหายใจลำบากเพิ่ม 1.8 เท่า นอกจากนี้แม้จะไม่สูบเองแต่อยู่ใกล้ชิดคนที่สูบก็เสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคปอดอักเสบเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะหากเป็นเด็กอาการจะรุนแรงกว่าผู้ใหญ่

รศ.พญ.ดาวชมพู นาคะวิโร อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ปัญหาการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและวัยรุ่น เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญ ดังนั้นผู้ปกครองควรมีความรู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า เช่น ความหลากหลายของอุปกรณ์ ผลจากสารเคมีที่อยู่ในบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้ข้อมูลกับเด็กหรือวัยรุ่นได้ รวมทั้งผู้ปกครองควรเปิดใจรับฟังเด็กที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า เข้าใจที่ถึงสาเหตุที่เด็กใช้ สิ่งที่เด็กยังเข้าใจไม่ถูกต้อง มีเวลาใกล้ชิดที่จะพูดคุย สังเกตพฤติกรรม อารมณ์ที่เปลี่ยนไป หากิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย รวมถึงกิจกรรมที่ทำให้มีความมั่นใจ รู้สึกถึงคุณค่าในตนเอง กรณีที่พบว่าเด็กใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้ว การพูดคุยเพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการหยุด โดยถามถึงข้อดี ข้อเสียของการใช้บุหรี่ไฟฟ้า และช่วยให้ข้อมูลเพื่อให้เด็กเห็นข้อเสียการใช้ ข้อดีของการหยุดใช้ ด้วยตนเอง ร่วมกับครอบครัวสนับสนุนด้วยความรักความเข้าใจ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเด็กและวัยรุ่นได้