"วิษณุ" ร่ายยาว เหตุรับนั่ง "ที่ปรึกษานายกฯ" ช่วยดูเรื่องกฎหมาย แย้มมีช่องสู้ปม 40 สว.ยื่นถอดถอน "เศรษฐา" ปัดตอบ "อสส." ฟ้อง "ทักษิณ" คดี 112 ด้าน "เฉลิมชัย" ลั่นให้เลิกคิด "ปชป." เป็นพรรคสำรอง ชี้ปม "เศรษฐา-ทักษิณ" เป็นไปตามกระบวนการ บอกไม่ใช่เรื่องแปลกจับขั้วใหม่ อะไรก็เกิดขึ้นได้

ที่เนติบัณฑิตยสภา เมื่อวันที่ 30 พ.ค.67 นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จะเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อไหร่ ว่า ยังไม่ทราบเพราะคำสั่งยังไม่ออก และความจริงก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องเข้าและตนไม่มีอะไรพูดไปกว่าสิ่งที่นายเศรษฐาได้พูดไปแล้ว นายกรัฐมนตรีพูดตรงและครบทุกประเด็น ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีมาพบตน มาขอให้ตนไปช่วย ตนก็ได้บอกไปว่าสุขภาพไม่ดีเปิดพุงให้นายกรัฐมนตรีดูด้วย และที่สำคัญ 3 ข้อที่ตนปฏิเสธไป หนึ่งคือปัญหาสุขภาพ เมื่อก่อนเป็นแค่ไตอย่างเดียว วันนี้มีปัญหาเรื่องตาด้วยเพิ่งไปลอกตามา และสอง ช่วง 10 เดือนที่ตนห่างหายไปก็ไปรับงานอื่นหลายอย่าง หากต้องลาออกไปงานเขาก็จะเสีย

สามมีเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาในบ้านที่ต้องจัดการ เลี้ยงหลาน เลี้ยงลูก เดิมวางแผนไว้อย่างนั้น แต่นายกรัฐมนตรีบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นให้ตนมาเป็นที่ปรึกษาก็ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรมากมาย ตนก็ได้แจ้งไปว่าไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับการยื่นบัญชีทรัพย์สิน นายกรัฐมนตรีเลยบอกว่าไม่ต้องเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีตามตำแหน่ง โดยที่ปรึกษามีสองแบบ คือที่ปรึกษาโดยเจาะจงที่มี 5 คน และตั้งไปครบแล้ว ตนไม่ยอมเป็นอัน นั้นแน่ เพราะการเป็นข้าราชการการเมืองต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน แต่มีที่ปรึกษาอีกเยอะที่สามารถตั้งได้ และได้ขอให้ช่วยทำในบางเรื่องที่รัฐบาลมีปัญหา ซึ่งตนก็ได้ถามไปเหมือนกันว่าทุกวันนี้มีปัญหาอะไร ก็เห็นทำได้ดีอยู่ แต่นายกรัฐมนตรีบอกว่ามีปัญหาอยู่เหมือนกันเพราะบางทีเกิดความไม่แน่นอนขึ้นมา และในคณะรัฐมนตรีไม่มีนักกฎหมาย บางทีก็มีการทักท้วงกันระหว่างผู้ไม่รู้กับผู้ไม่รู้ หรือบางครั้งก็มีการทักท้วงจากคนข้างนอก

เมื่อถามว่า สรุปแล้วตำแหน่งที่รับเป็นที่ปรึกษา สลค. หรือที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ กล่าวว่า ตอนแรกเป็นที่ปรึกษาสลค. แต่มีอุปสรรคหลายอย่าง เช่นจ่ายเบี้ยประชุมไม่ได้ และไม่มีสิทธิเข้าไปดูเอกสารและเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี ตนก็เลยได้ยินว่าจะให้ตนเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ความจริงการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีไม่มีปัญหาใครเข้าก็ได้ แต่ถ้าเป็นที่ปรึกษา สลค.จะพูดอะไรไม่ได้ แต่การเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีสามารถพูดได้ เมื่อถามว่า การเข้ามาครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ กลุ่ม 40 สว.ยื่นสอบคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวอะไรเลย

เมื่อถามย้ำว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่นายกรัฐมนตรีจะปรึกษาเรื่องนี้ นายวิษณุ กล่าวว่า เป็นไปได้ และคงต้องทำอยู่แล้ว เพราะเวลาเขามีอะไรเขาก็ต้องปรึกษา สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีคดีความก็ส่งมาให้ตนดู แต่ยืนยันกรณีกลุ่ม 40 สว.ตนไม่เป็นหัวขบวน นายพิชิต ชื่นบาน อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าของเรื่อง มีทนาย มีกฤษฎีกา อัยการ ช่วยทำให้ แต่การที่มีหลายทีมอาจทำให้มีความคิดเห็นขัดกัน จึงให้ตนเข้าไปช่วยดูด้วยว่าแต่ละคนที่มีความเห็นคนละด้านจะนำมาผสมกลมกลืนอย่างไร

เมื่อถามว่า เท่าที่ดูคิดว่านายเศรษฐา จะสู้คดีได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ยังไม่อยากตอบตอนนี้เพราะยังไม่เห็นคำร้องของ 40 สว.ว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะพูดให้สื่อมีความหวังก็ขอตอบว่ามันก็มีหนทางที่จะสู้คดีอยู่ สู้แล้วชนะหรือไม่ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่ามีโอกาสที่จะสู้คดีได้ แต่จะฟังขึ้นหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าการที่เข้ามาอาจต้องดูเรื่องที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะกลับประเทศไทย และคดีของนายทักษิณด้วย นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่จริง เพราะความจริงการจะเอาน.ส.ยิ่งลักษณ์กลับมา ไม่ยากเลย ซื้อตั๋วส่งไปให้แกก็กลับมาได้แล้ว ปัญหาคือมาแล้วต้องถูกจำคุก 5 ปี ตามที่ศาลตัดสินไว้ แล้วตนจะไปช่วยอะไรตรงนี้ได้ หรือกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีใครช่วยอะไรได้ ที่ผ่านมาเพราะนายทักษิณได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ แล้วตนจะไปช่วยอะไรได้เขาก็ต้องทำของเขาเอง เมื่อถามว่า การประสานให้เข้ามาทำงานกับรัฐบาลครั้งนี้ มีกระแสข่าวว่ามาจากขั้วอำนาจเดิมโดยเฉพาะจาก "ปลัด ฉ." นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเลย

นายวิษณุ ยังกล่าวถึงกรณีนายทักษิณถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องคดี ม.112 และมีการวิเคราะห์ดีลมีปัญหา ว่า ตนไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้ดีลด้วย และระหว่างตนกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มีดีล ไม่ได้แลกเปลี่ยนอะไร เมื่อถามย้ำว่า คดีม.112 น่ากังวลกับนายทักษิณหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ให้ไปถามนายทักษิณ น่าจะตอบได้ หากถามตน ตนตอบไม่ถูก แต่ในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ อัยการต้องคุมตัวนายทักษิณ ไปที่ศาล หากศาลประทับรับฟ้อง ก็จะต้องมาดูว่าศาลให้ประกันตัวหรือไม่ เมื่อถามว่า หากศาลไม่ให้ประกันตัว นายทักษิณก็ต้องติดคุกใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่ แต่ในระยะหลัง คดี 112 ศาลให้ประกันตัวแทบทุกคดี

ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่อัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องคดี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งหลายฝ่ายจับตาอาจซ้ำรอยนักโทษเทวดา รอบ 2 ว่า ต้องรอดู ทั้งนี้ตนเห็นด้วยกับบรรทัดฐานในกระบวนการยุติธรรมที่เท่ากัน ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าอยากเห็นนายทักษิณ โดนกระทำในคดีดังกล่าว แต่ต้องการเห็นบรรทัดฐานที่เท่าเทียมกัน ในระบบกฎหมาย ระบบนิติรัฐ ที่มีความชัดเจนแน่นอน ยึดถือสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนเป็นตัวตั้ง

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า ในการต่อสู้คดี เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงรายละเอียด พฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหา ซึ่งในแต่ละคดีไม่เหมือนกัน การพิจารณาอาจอยู่ในบรรยากาศทางการเมืองไม่เหมือนกัน แต่การได้รับข้อปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น สิทธิในการประกันตัว เพื่อจะทำให้มีสิทธิ์ในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ รวมถึงถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ควรเป็นบรรทัดฐานทั่วไป หากใครที่จะไม่ได้รับการประกันตัวเป็นกรณียกเว้นที่มีเหตุจริงๆ ควรมีเหตุผลให้ชัด ส่วนผลตัดสินไม่เหมือนกันในแต่ละคดี พูดยากว่าคดีไหนจะชนะหรือแพ้ในชั้นศาล

เมื่อถามถึงกรณีฟ้องคดีมาตรา 112 กับนายทักษิณ มองว่าเป็นเกมการเมืองเพื่อดึงขั้วเก่ากลับมาเป็นรัฐบาลหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ต้องจับตาดู ทั้งนี้ในสถานการณ์การเมืองไม่ดีมากนัก และน่าเป็นห่วงเพราะหากการเมืองมีปัญหา ไม่มีเสถียรภาพ จะกระทบต่อการแก้ปัญหาของประเทศเฉพาะหน้า และระยะยาวด้วย ผมเชื่อว่าฝ่ายการเมืองคงจับตาดูสถานการณ์อยู่

ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัย กรณี 40 สว. ยื่นถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สถานการณ์การเมืองจะมีอะไรทำให้สะดุดหรืออยู่ได้นานหรือไม่ ว่า ตอนนี้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร คาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าสมมติว่าเป็นไปในทางที่ร้ายก็ต้องมาคุยกันใหม่ในรัฐบาลที่จะเกิดขึ้น อย่างไรประเทศไทยต้องมีรัฐบาล ก็ต้องมีนายกรัฐมนตรีมาบริหาร แต่ถ้าเป็นไปในทางที่ดีก็อยู่ที่ผู้บริหารจะตัดสินใจอย่างไร ส่วนกรณีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่มีอะไรแปลก

เมื่อถามว่า คดีมาตรา 112 จะเป็นบรรทัดฐานกับกรณีอื่นๆหรือไม่ เพราะตั้งแต่นายทักษิณกลับมายังไม่ได้รับโทษอะไร จะสามารถเคลียร์ได้หรือไม่ นายเฉลิมชัย กล่าวว่า อัยการสูงสุดสั่งฟ้องนายทักษิณก่อนเดินทางเข้าประเทศ โดยธรรมเนียมปฏิบัติ หรือวิธีการต่างๆ ตนคาดการณ์ไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าอัยการสูงสุดต้องสั่งฟ้อง ท่านคงไม่พลิกคำวินิจฉัยของอัยการคนอื่นก่อน น่าจะเป็นเรื่องของหลักกฎหมาย แต่ว่าผลจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ศาล

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการประเมินสถาน การณ์ทางการเมืองหรือไม่ว่าจะมีปัจจัยต่างๆ ให้เปลี่ยนรัฐบาลหรือไม่ หรือจับขั้วกันใหม่ นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ประเทศไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ สำหรับท่าทีพรรคประชาธิปัตย์เราก็เลือก อย่าคิดว่าเราอยากจะเป็นรัฐบาลอย่างเดียว ตนบอกหลายครั้งแล้วว่าช่วยบอกประชาชนและนักวิเคราะห์ข่าวทั้งหลายว่าเลิกคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคสำรองได้แล้ว การที่เป็นพรรคการเมืองต้องพร้อมเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน ไม่มีพรรคไหนประกาศเป็นรัฐบาลอย่างเดียวแล้วได้เป็น หรือพรรคไหนตั้งมาเพื่อเป็นฝ่ายค้านอย่างเดียว ไม่ใช่ประเทศไทย ในโลกก็ไม่มี

เมื่อถามว่า ยังทำงานกับพรรคก้าวไกลได้หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้เราทำหน้าที่ฝ่ายค้านด้วยกัน แต่เรื่องการทำงานอย่างอื่นอยู่ที่หลักการ และอุดมการณ์ ถ้าส่วนไหนไปด้วยกันได้เราก็ทำงานได้กับทุกพรรค ส่วนไหนไปด้วยกันไม่ได้เราก็ทำงานด้วยกันไม่ได้

วันเดียวกัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต รมว.วัฒนธรรมและอดีต สส.พัทลุงหลายสมัย โพสต์เฟซบุ๊กในหัวเรื่อง "ชะตากรรม คุณทักษิณ ชินวัตร" มีเนื้อหาใจความว่า ผมฟังคำสัมภาษณ์ของทนายความคุณทักษิณ ชินวัตร แล้ว ก็รู้ว่าคุณทักษิณจะสู้คดีอย่างไร ประเด็นหลัก คือ คลิปนั้นปลอม หรือมีการตัดต่อหรือไม่ ถ้าเป็นคลิปจริง หรือ มีน้ำหนักฟังได้ว่าจริง ซึ่งเรื่องแบบนี้ พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ไม่ยาก คุณทักษิณ น่าจะจบแน่!! สิ่งที่ผมกังวล คือ 1.ท่านอัยการสูงสุด ต้องคัดอัยการ ฝีมือดี ใจนิ่ง ๆ 100 % มาทำคดีนี้ 2.ศาลยุติธรรม คงมีวิธีการตั้งองค์คณะผู้พิพากษาที่มีประสบการณ์อย่างดีมาทำคดีนี้อยู่แล้ว 3.ประชาชนอย่างเรา ก็มีหน้าที่ตรวจสอบแนวคำพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงอย่างนี้ ที่ผ่านมาศาลพิพากษาอย่างไร ยิ่งวุฒิภาวะของคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรีพูด ยิ่งมีวุฒิภาวะ ความรับผิดชอบมากกว่าเด็กๆพูด 4.ตั้งแต่วันนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องสำรวจ 'เส้นทางธรรมชาติ' ว่าตรงไหน รั้วขาด คนลอดได้ สุนัขลอดได้ ก็ทำเสียให้แน่นหนา โดยเฉพาะชายแดนไทย-กัมพูชา ระวังให้ดี # ถ้าไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้ พูดได้คำเดียวว่า มันจบแล้วครับนาย!!!