สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ  ศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ …*…

ถึงวันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การปรับครม.ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นอกจากไม่ได้ช่วยให้เสถียรภาพรัฐบาลดีขึ้นแล้ว ยังส่งผลในทางตรงกันข้าม นายเศรษฐาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากจากการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการทำตามออเดอร์ของคนที่ต่างก็รู้ว่าคือใคร …*…

แม้ในที่สุดนายพิชิตจะตัดสินใจลาออก แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้นายเศรษฐาพ้นบ่วงการเมือง ยังมีความสุ่มเสี่ยงจะตกเก้าอี้ กระทั่งต้องเรียกใช้บริการจากนายวิษณุ เครืองาม มือกฎหมายรัฐบาลเก่า …*…

“ไม่แปลกใจเลย เมื่อเห็นข่าวนายกรัฐมนตรีเข้าพบนายวิษณุ เพื่อให้ช่วยเหลือกรณีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ 40 สว.เพื่อวินิจฉัยประเด็นการแต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ต้องยอมรับความจริงว่า นายวิษณุคือผู้รอบรู้ด้านกฎหมายที่หาตัวจับได้ยาก สามารถตีความ หาทางออกของข้อกฎหมาย พลิกแพลง หาช่องทางอธิบายเหตุผลได้เสมอ เป็นการสร้างอภินิหารทางกฎหมาย จนเกิดปาฏิหาริย์ทางกฎหมายมาแล้วหลายครั้ง”นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว …*…

นอกเหนือจากการดึงนายวิษณุเข้ามารับบทกุนซือด้านกฎหมายแล้ว  ยังมีการคาดหมายว่าอีกภารกิจสำคัญของนายวิษณุอาจเป็นการพานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับบ้านโดยไม่ต้องรับโทษจากคดีจำนำข้าว หรือติดคุกแม้แต่วันเดียว ตามรอยนายทักษิณ อดีตนายกฯผู้พี่ …*…

 ขณะที่ทางด้านพรรคเพื่อไทยเองก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ ภาพลักษณ์ตกต่ำ กระแสความนิยมลบฮวบไม่แพ้รัฐบาลเช่นเดียวกัน …*…

เห็นได้จากผลการสำรวจความเห็นประชาชนโดยสถาบันพระปกเกล้าเรื่อง “ความนิยมในพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี : 1 ปีหลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาฯ 2566” ซึ่งจากคำถามที่ว่าหากมีการเลือกตั้งในเร็ววันนี้จะเลือกพรรคไหน พบว่าในการเลือก สส.แบบแบ่งเขต มีถึงร้อยละ 35.7 ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล มากกว่าผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ที่มีเพียงร้อยละ 18.1…*…

ส่วนการเลือก สส.แบบบัญชีรายชื่อนั้น ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 44.9 จะลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล เหนือกว่า พรรคเพื่อไทย ที่คิดเป็นร้อยละ 20.2 …*…

 เมื่อนำตัวเลขประมาณการที่นั่งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคมีโอกาสได้รับจากการเลือกตั้งทั้งสองระบบมารวมกันพบว่า หากมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงเวลานี้ พรรคก้าวไกล เป็นพรรคที่มีโอกาสได้ที่นั่งมากที่สุด รวม 208 ที่นั่ง ส่วนพรรคเพื่อไทย 105 ที่นั่ง …*…

อีกประเด็นผลสำรวจน่าสนใจจากโพลดังกล่าว คืออยากให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46.9 รองลงมาคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 17.7 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 10.5 และนายเศรษฐา  ร้อยละ 8.7  …*…

เสียงสะท้อนผ่านโพลสถาบันพระปกเกล้าดังกล่าว นับเป็นคำตอบได้อย่างดีว่า การเดินสายของนายทักษิณไม่ได้ช่วยให้เรตติ้งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยดีขึ้นแต่อย่างไร …*…

 ฉะนั้น หนทางในการกอบกู้กระแสความนิยมของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย จึงมีเพียงแค่การเร่งสร้างผลงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ง่ายอีกเช่นกัน เพราะจากข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นั้น ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนค่อนข้างสาหัส และที่น่าเป็นห่วงคือหนี้เสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะสินเชื่อวงเงินน้อยกว่า 3 ล้านบาท ที่สูงขึ้นจนน่าตกใจจาก -1.7% ในไตรมาสก่อน มา+ 7% ในไตรมาสนี้ …*…

แค่นโยบายแจกเงินผ่านดิจิตัล วอลเล็ต 10,000 บาท คงไม่อาจช่วยอะไรได้มากนัก เพราะปัญหาเศรษฐกิจที่คนไทยเจออยู่ในเวลานี้ คือการแบกรับภาระหนี้ที่โดนกดทับโดยอัตราดอกเบี้ยแพงเกินควร ทำให้คุณภาพชีวิตของคนเล็กคนน้อยย่ำแย่กันถ้ววนหน้า …*…

หากรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยไม่สามารถแก้ไขโจทย์นี้ มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะแพ้พรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งหน้ามากกว่าที่ปรากฏในผลโพลของสถาบันพระปกเกล้า …*…

ที่มา:เจ้าพระยา (30/5/67)