เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 30 พ.ค.67  นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)  พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3  นำกำลังเปิดปฏิบัติการ The Purge EP.2 กวาดล้างอาชญากรข้ามโลกภาค 2 ปูพรมตรวจค้น 5 จุด ในพื้นที่ กทม. 4 จุด และระยอง 1 จุด เพื่อตรวจยึดอายัดบ้านหรู 4 หลัง คอนโดมิเนียมและทรัพย์สินอื่นๆที่มีความเชื่อมโยงขบวนการไฮบริด สแกม หรือขบวนการหลอกลงทุน
 
จุดที่1 เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 89/18 หมู่บ้าน แกรนด์ บางกอก บูเลวาร์ด บางนา-อ่อนนุช ถนนสุขาภิบาล 2 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กทม. ราคา 36 ล้านบาท  พร้อมควบคุมตัว Mr.Jianfei wei อานุ 38 ปี ชาวจีน ถือสัญชาติ วานูอาตู ผู้ต้องหาตามหมายจับทางการจีน ซึ่งเป็นผู้พักอาศัยไปสอบปากคำ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่มีหลักฐานความเชื่อมโยงว่าเป็นตัวการสำคัญ จุดที่2 บ้านเลขที่ 83/54 และ 83/55 หมู่บ้าน อาร์เทล เกษตร-นวมินทร์ ซอยประเสริฐมนูกิจ 29 แยก 2 ถนนประเสริฐมนูกิจ แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กทม. ในราคาหลังละ 28.3 และ 27.7 ล้านบาท  จุดที่ 3 บ้านเลขที่ 856/46 หมู่บ้าน The Welton rama 3 (เดอะ เวลตั้น พระราม 3) ถนนนนทรี แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. ราคา 85 ล้านบาท โดยมีนางลี่ ฮั่วหยู สัญชาติจีน เป็นผู้พักอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว อ้างว่าเป็นเพียงแค่ผู้เช่าบ้าน แต่ทางเจ้าหน้าที่มีหลักญานเชื่อมโยงว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ก่อนนำตัวไปทำการสอบสวน จุดที่4 ตรวจค้นห้องชุดเลขที่ 5/526 คอนโดวิสซ์ดอม เอสเซ้นส์ ย่านสุขุมวิท กทม. พร้อมจับกุมนายธนพนธ์ บรรลือ  อายุ 33 ปี ชาวจ.อุบลราชธานี  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2341/2567 ลงวันที่ 21พ.ค. พร้อมตรวจยึดสมุดบัญชีธนาคาร 18 เล่ม,โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง,คอมพิวเตอร์ 2  เครื่อง, แฟลชไดรฟ์ เก็บข้อมูล 2 อัน  อีกจุดเป็นการตรวจค้นบ้านเลขที่ 15/28 ซ.วิภาวดี 30 เขตจตุจักร ก่อนจับกุมนายศุภสิทธิ์ เวชประสิทธิ์  พร้อมของกลางที่เกี่ยวข้องหลายรายการ อีกทั้งจับกุมนายกัญจน์นิพิฐ นิธีสถิตคุณ ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2343/2567 ลง 21 พ.ค.67 ได้ที่ บ้านเลขที่ 99/63 ถ.สุขุมวิท ซอยน้ำเย็น 3 ต.เนินพระ อ. เมืองระยอง จ.ระยอง  

นายประเสริฐ  กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการขยายผลต่อเนื่องกรณีคนร้ายหลอกผู้เสียหายลงทุนในลักษณะไฮบริด สแกม โดยก่อนหน้านี้ได้จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยึดทรัพย์เครือข่ายดังกล่าวกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งขบวนการนี้ใช้วิธีชักชวนผู้เสียหายให้ลงทุนสกุลเงินดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มปลอม จากนั้นให้ผู้เสียหายซื้อเงินสกุล USDT และโอนไปตามเลขกระเป๋าเงินดิจิทัลตามที่คนร้ายระบุ ก่อนที่จะถูกโอนเข้าบัญชีของแพลตฟอร์มเทรดเงินดิจิทัล ก่อนนำมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินต่างๆ  ทั้งนี้สามารถยึดอายัดบ้านและคอนโดหรูที่มีความเชื่อมโยงกับเงินที่ได้จากการกระทำความผิด ได้จำนวน 4 แห่ง อายัดบัญชีธนาคารของผู้ต้องหา และบริษัทที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตรวจยึดทรัพย์สิน ได้แก่ เงินสด รถยนต์หรู 3 คัน นาฬิกาหรู กว่า 10 เรือน กระเป๋าแบรนเนมด์ โทรศัพท์มือถือ ได้หลายรายการ ยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 220 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจากการสืบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดมีหน้าที่บริหารบัญชีเงินที่ได้จากการกระทำความผิด และนำเงินดังกล่าวมาแปรสภาพโดยซื้ออสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ และทรัพย์สินมีค่า ซึ่งถือเป็นการฟอกเงินให้ขบวนการดังกล่าว 

พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 เปิดเผยว่า พฤติการณ์ของแก๊งนี้เป็นการเปิดการซื้อขายเหรียญ ที่สำคัญเป็นการเปิดซื้อขายนอกกระดาน เงินที่กลุ่มคนร้ายไปหลอกมาแปลงเป็นเหรียญแล้วกลุ่มคนจีนจะนำเหรียญมาขายให้คนไทย เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การเป็นประโยชน์ ว่ามีการซื้อขายจริงอยู่ระหว่างทำการสอบสวน ซึ่งเบื้องต้นทราบว่ามีการซื้อขายเหรียญคริปโตกันมาในระยะหนึ่ง ก่อนจะมาแปรสภาพในลักษณะนำเงินมาซื้อบ้านและทรัพย์สินอื่นๆ


  
ด้านพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒนครบัญชา ผบช.สอท. เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะทำการขยายผลต่อเชื่อว่ามีบุคคลและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องอยู่ ซึ่งในคดีนี้ยึดทรัพย์ได้ประมาณ 250 ล้านเป็นเงินสด 80 ล้าน ที่มีการแถลงข่าวไปก่อนหน้านี้ จากการขยายผลเส้นเงินสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้ 27 คน ที่อยู่ตามประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นลักษณะบัญชีม้าของคนต่างชาติ และในบัญชีต่างประเทศมีการหมุนเวียนเข้ามาในประเทศไทยในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ในการปฏิบัติการในครั้งนี้เราพบว่ามีผู้ต้องหาที่อยู่ในไทย 3 คน สามารถติดตามจับกุมได้ทั้งหมด โดยการตรวจค้นทั้งหมด 4 จุด เป็นการตรวจยึดบ้านหรู 4 จุด ซึ่งเป็นการปฏิบัติการ่วมกันระหว่างกระทรวงดีอีเอส สอท. และตม. ซึ่งจุดนี้จากการตรวจสอบพบว่ามีการซื้อด้วยเงินสดและจัดตั้งบริษัทโดยใช้คนไทยเป็นนอมินีเพื่อหลีกเลี้ยงการจรวจสอบ จุดประสงค์หลักของปฏิบัติการให้ขยายผลต่อเนื่องเพื่อยึดทรัพย์ทั้งหมดส่ง ปปง. ในการเฉลี่ยทรัพย์ให้ผู้เสียหาย ซึ่งในช่วงเดือนที่ผ่านมาสามารถยึดทรัพย์ในกลุ่มนี้เพื่อเฉลี่ยทรัพย์ได้แล้วประมาณ 4 ร้อยกว่าล้าน ทั้งนี้เครือข่ายดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแก๊งคอลเซ็น เตอร์ และเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งพบว่าเครือข่ายดังกล่าวมีเงินหมุนเวียนสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี

เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนอันเป็นปกติธุระโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น , ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ร่วมกันเป็นซ่องโจร,ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่ง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่ น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน , ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติฯและ ร่วมกันฟอกเงินและ สมคบฟอกเงิน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป