คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์   เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อที่ถึงแม้ว่า เวลาของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายังคงเหลืออีกแค่เพียงห้าเดือนกับหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าชาวอเมริกันไม่ค่อยตื่นตัวให้ความสำคัญทั้งต่อ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” และ  “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กันมากเท่าใดนัก

จากผลการเลือกตั้งขั้นต้นที่ปรากฏออกมาให้เห็นว่า ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2024 เป็นต้นมา นักการเมืองทั้งสองต่างก็ได้รับคะแนนเพียงพอที่จะเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน โดยทั้งสองตกลงกันว่า จะประชันฝีปากโต้วาทีกันแค่สองครั้งเท่านั้น !!!

ส่วนการดีเบตที่ทั้งคู่ต่างสัญญากันว่า จะจัดให้มีขึ้นแค่สองครั้งนั้น นับว่ามีประเด็นร้อนๆที่อาจจะกลายเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นจนสามารถสร้างความเร้าใจให้ชาวอเมริกันหันมาสนใจก็เป็นไปได้

ถึงแม้ว่าคะแนนนิยมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังนำหน้าไปเล็กน้อยก็ตาม แต่ที่ผ่านๆมาปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ นับเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด และเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้มีความคล่องตัวดีขึ้น โดยชาวอเมริกันถึง 40% เล็งเห็นว่าเรื่องปากเรื่องท้องสำคัญสุดสุด ถือได้ว่าประธานาธิบดีไบเดนก็ยังสามารถจะเรียกคะแนนเสียงให้กลับคืนมาได้ไม่ยากเท่าใดนัก

ประเด็นร้อนอันดับสองรองลงมาที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจสูงถึง 17% ก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับอิมมิเกรชัน  โดยประเด็นที่สามจะเป็นเกี่ยวกับการทำแท้งที่คนอเมริกันให้ความสนใจอยู่ที่ 8%

คราวนี้เราลองหันมาเปรียบเทียบผลงานการบริหารประเทศสหรัฐอเมริกาในอดีตที่ผ่านมาระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กันดูบ้างช่วงสี่ปีในยุคของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์

เมื่อปีค.ศ. 2017 ขณะนั้นอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่  2.1%  และในปีค.ศ.  2018 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.4%  ส่วนปีที่สามค.ศ. 2019 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.8% และปีสุดท้ายในปีค.ศ.2020 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.2%

นับว่าเป็นผลงานที่ดีและอยู่ในความทรงจำที่ทำให้คนอเมริกันส่วนใหญ่ต่างนิยมชมชอบ

ส่วนเงินเฟ้อในสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดนปรากฏว่าในปีแรกเมื่อค.ศ.2021 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4.7%  และในปีค.ศ. 2022 จำนวนของเงินเฟ้ออยู่ที่ 8.0% และเมื่อปีค.ศ. 2023 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 4.1% โดยปัจจุบันขณะนี้จำนวนของอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 3.36%

ส่วนการเติบโตของจีดีพีในยุคของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อปีค.ศ. 2017 ปรากฏออกมาว่ายอดของจีดีพีเติบโต  2.3%  ส่วนปีค.ศ. 2018 ยอดจีดีพีเติบโตที่ 2.9%  และในปีค.ศ. 2019 และปีค.ศ. 2020 ยอดจีดีพีเติบโตที่ 2.3%

ทั้งนี้เมื่อครั้งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เพิ่งจะก้าวขาเข้าไปรับตำแหน่ง ถือได้ว่าเป็นช่วงที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจยาวนานที่สุด แต่กลับต้องสะดุดสิ้นสุดลงจนสหรัฐฯต้องเผชิญกับภาวะถดถอยอย่างกระทันหัน สืบเนื่องมาจากการระบาดครั้งใหญ่ของโรคโควิด-19

และถึงแม้ว่าขณะนั้นประธานาธิบดีทรัมป์ ตัดสินใจทุ่มงบประมาณบรรเทาทุกข์ให้แก่คนอเมริกันเป็นยอดเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์แล้วก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าสหรัฐฯยังต้องเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่ที่ประสบกับการขาดงบดุลไปกว่า 3.1 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว!!!

สำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจภายใต้การบริการงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ปรากฏว่า มีความแข็งแกร่งสูงขึ้นกว่าในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ถือว่ามิใช่เป็นเรื่องบังเอิญ สืบเนื่องมาจากประธานาธิบดีโจ ไบไดน ได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากนักการเมืองในค่ายพรรคเดโมแครต

โดยผลงานชิ้นโบว์แดงแรกของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มาจากนโยบายลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในเดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ. 2021 จนมีผลทำให้ยอดของจีดีพีเติบโตอยู่ที่ 5.9%

และยังคาดกันว่า การเติบโตจีดีพีในปีค.ศ. 2024 จะอยู่ที่ 3.1%  และการเติบโตในปีหน้าจะอยู่ที่ 3.2%

สำหรับหนี้สาธารณะในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฏว่าเพิ่มขึ้น 8.4 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดนมียอดหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นที่ 4.8 ล้านล้านดอลลาร์

ส่วนปัญหาด้านอิมมิเกรชัน ที่นับเป็นประเด็นเผือกร้อนในแทบทุกยุคทุกสมัยยกตัวอย่าง อาทิ การบริหารจัดการด้านอิมมิเกรชันในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เขาออกมาชูธงในนโยบายที่แถลงอยู่เป็นประจำว่า จะสร้างรั้วกั้นพรมแดนระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐฯ ยาวราวๆ 400 ไมล์ และทันทีที่เขาเข้าสู่ทำเนียบขาวก็จะเนรเทศผู้ที่กระทำความต่อผิดกฎหมายอย่างแข็งขัน

ส่วนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็มีนโยบายเข้มงวดในการจับกุมผู้ลักลอบเข้าสู่สหรัฐฯตามตะเข็บชายแดนเม็กซิโก โดยที่ผ่านมาสามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าสหรัฐฯเฉลี่ยแล้วเดือนละ 302,000 ราย แต่จะไม่ส่งตัวผู้ที่ลักลอบเข้ามากลับประเทศ ยกเว้นแต่ผู้ที่อยู่ในขั้นเป็นบุคคลอันตรายสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงปลอดภัยของสหรัฐฯ

อีกทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังให้ความช่วยเหลือและให้การสนับสนุนต่อเด็กและเยาวชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เดินทางติดตามพ่อแม่เข้าสู่สหรัฐฯ โดยพยายามที่จะให้โอกาสการเป็นพลเมืองของสหรัฐฯ แต่ในทางกลับกันประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการที่จะเนรเทศเยาวชนเหล่านี้ให้กลับไปภูมิลำเนาเดิม และหากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ ก็คงจะสร้างความโกลาหลวุ่นวายไม่น้อยทีเดียว

สำหรับด้านภาษีนั้น ในยุคสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องการจะขึ้นภาษีบริษัท ห้างร้านและครัวเรือนที่มีรายได้สูง ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์ กลับลดภาษีให้แก่กลุ่มของผู้ที่มีรายได้สูง

ในกรณีผู้ก่อความไม่สงบที่รัฐสภาสหรัฐฯเมื่อวันที่ 6 มกราคม  ค.ศ.2021 ปรากฏออกมาว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องการที่จะให้อภัยโทษแก่ผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังทุกๆคนทั้งหมดกว่า  1,353 คน

โดยประเด็นนี้ยังคงคาราคาซังมานานกว่าสามปี โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถูกข้อกล่าวหาว่า เข้าไปชักใยให้มีการล้มล้างรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ได้รับเลือกมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ทั้งนี้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาอ้างว่า เขาสมควรจะได้รับภูมิคุ้มกันที่ไม่ต้องถูกข้อหา โดยเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2024 ที่ผ่านมาผู้พิพากษาทั้ง 9 ท่าน ได้รับฟังข้อเรียกร้องของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์

และผลการพิพากษาจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม แต่อย่าลืมว่าผู้พิพากษาทั้ง 9 ท่าน อยู่ในค่ายอนุรักษ์นิยมที่เป็นเสียงข้างมากไปแล้ว 6 ต่อ 3 แถมสามในหกก็ยังมีผู้พิพากษาสามท่านที่ได้รับการแต่งตั้งจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อีกด้วย

ส่วนด้านการต่างประเทศนั้นดูเหมือนว่าขณะนี้บรรดาชาติพันธมิตรของสหรัฐฯต่างพากันวิตกกังวลว่า หากประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับชัยชนะสามารถกลับคืนสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาอาจจะต้องฉีกสนธิสัญญาและปรับข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีต่อกันมาหลายๆทศวรรษ สืบเนื่องมาจากขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์หาเสียงเขาได้แสดงจุดยืนในนโยบายต่างประเทศที่แตกต่างกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยสิ้นเชิง

โดยนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดนนั้นชูธงในนโยบายประชาธิปไตยที่โดดเด่น

มีผลทำให้บรรดาชาติพันธมิตรสามารถคาดการณ์ได้ไม่ยากต่อนโยบายในเรื่องราวของสงครามยูเครนและสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มนักรบฮามาส

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นผลงานและนโยบายชูธงต่างๆระหว่าง “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”และ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ที่ผมกล่าวมาข้างต้น ต่างก็มีความได้เปรียบเสียเปรียบเหลื่อมล้ำกันไม่มากเท่าใดนัก คงจะต้องลุ้นกันต่อไปว่าใครจะเป็นผู้ที่มีงานดีโดนใจทำให้คนอเมริกันหันไปเทใจมอบคะแนนเสียงให้เข้าไปบริหารประเทศในอีกห้าเดือนกว่าๆข้างหน้านี้ละครับ