ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
สังคมคือสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุด โดยปกติสังคมจะสร้างคนให้สู้ชีวิต เว้นแต่จะสร้างจน “เว่อร์”
เฌอปรางเกิดใน พ.ศ. 2540 ซึ่งอยู่ในเวลาที่ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า “ต้มยำกุ้งไครซีส” ประเทศไทยอยู่ในภาวะเกือบจะล้มละลาย ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแต่เดิมใช้เงิน 25 บาทแลกได้ 1 ดอลลาร์ ก็ต้องใช้เงินถึง 55 บาท ทำให้กิจการที่พึ่งการค้าขายหรือที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศล้มครืน จนรัฐบาลต้องไปขอให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้ามาช่วย ซึ่งต้องใช้เงินหลายแสนล้านบาทไปใช้หนี้ให้ IMF อยู่หลายปี วิกฤติครั้งนั้นส่งผลต่อการวางแผนอนาคตของผู้คนจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงครอบครัวของเฌอปรางที่เพิ่งจะคลอดลูกสาวในปีนั้นด้วย
พ่อของเฌอปรางเป็นผู้บริหารบริษัทไฟแนนซ์ ส่วนแม่ก็เคยช่วยบริหารอยู่ในไฟแนนซ์แห่งนั้นด้วยกัน แต่พอแต่งงานกันแล้วแม่ก็ออกมาทำงานเป็นแม่บ้าน เพราะลำพังเงินเดือนและโบนัสของพ่อก็พอเลี้ยงดูครอบครัวได้เกินพอ แต่พอเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง พ่อต้องขายทรัพย์สินออกไปจำนวนหนึ่ง แล้วไปลงทุนด้านการขายส่งอาหารสัตว์ ทำให้ฟื้นตัวได้ในเวลาต่อมา และสามารถรักษาบ้านหลังใหญ่เอาไว้ได้ แต่ก็คงเหลือรถไว้ใช้เพียง 2 คัน และคนใช้อีกคนหนึ่ง ที่เอาไว้ให้เป็นเพื่อนภรรยา เพราะเคยดูแลกันมานาน รวมถึงช่วยเลี้ยงลูกสาวที่เพิ่งคลอดนั้น ส่วนคนรถก็ใช้คนของบริษัทแห่งใหม่นี้ ก็พอทำให้ทั้งพ่อและแม่ยังสามารถ “เชิดหน้าชูตา” อยู่ได้ในวงสังคม ที่ต้องส่งเสริมและรักษาไว้เพราะจำเป็นสำหรับการติดต่อผู้คนและทำธุรกิจ
รถที่ใช้อยู่ที่บ้านก็เป็นรถที่ใช้บริการ “เช่าซื้อ” จากบริษัทเล็ก ๆ แต่ก็เป็นรถยี่ห้อแพง ๆ ทั้งสองคัน ด้วยเหตุผลที่ต้อง “รักษาภาพลักษณ์” ของผู้บริหารที่น่าเชื่อถือ ทั้งเมื่อเช่าซื้อครบ 4 ปี ก็สามารถเปลี่ยนรถได้ใหม่ ทำให้คนอื่นเห็นว่าเขามีฐานะดีและเปลี่ยนรถอยู่บ่อย ๆ นอกเหนือจากที่ค่าใช้จ่ายในการเช่าซื้อรถสองคันนี้ยังสามารถนำไปลดภาษีได้อีก เพราะอยู่ในหมวดค่าใช้จ่ายและเงินลงทุนของบริษัท เรื่องนี้ในสังคมระดับ “กระฎุมพี” ที่ล้อมรอบเฌอปรางอยู่นั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเอามาก ๆ อย่างในเวลาที่เฌอปรางไปโรงเรียน พอเพื่อน ๆ (รวมถึงพ่อแม่ของเพื่อน ๆ) เห็นว่ามีรถแพง ๆ ขับมาส่งมารับเฌอปรางเป็นประจำ ก็ทำให้เฌอปรางได้รับการยอมรับนับถือเป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่มีรถราคาไม่แพงเท่านั้นมาส่งมารับ
เฌอปรางถูกครอบครัว “หล่อหลอม” ให้เป็นคนหรูหรา “ชั้นสูง” โดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นอาหารก็ต้องรับประทานแต่ของดี ๆ ครั้งหนึ่งสมัยที่ยังเรียนอยู่ในชั้นเด็กเล็ก ที่ทางโรงเรียนก็มีอาหารเลี้ยงอยู่เป็นปกติ แต่แม่ของเฌอปรางก็ “แอบ” เอาอาหารพิเศษและขนมติดกระเป๋าไปด้วย จนถูกครูจับได้ ต้องมีการภาคทัณฑ์กันไว้ แต่ก็ยังแอบนำออกมาอวดให้เพื่อน ๆ คนอื่นได้เห็นอยู่ในบางวัน ด้วยการทำทีทานไม่เสร็จขณะลงจากรถในตอนเช้า แต่โชว์ถุงขนม “ดี ๆ” นั้นให้เห็น หรือพอเวลาที่คนขับรถพาคุณแม่มารับในตอนบ่าย คุณแม่ก็จะต้องยื่นขนมให้รับประทานทันทีที่เข้ามานั่ง แล้วพยายามเปิดกระจกให้เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ได้เห็นทุกครั้ง นอกเหนือจากข้าวของที่ใช้ที่ก็ต้องดูดีมีราคาตั้งแต่หัวจรดเท้า หรือแม้แต่กลิ่นตัวที่เด็ก ๆ ห้ามใช้น้ำหอมหรือแป้ง ที่บ้านก็ยังให้เฌอปรางใช้ครีมอาบน้ำที่มีกลิ่นหอมแรง ๆ ของเมืองนอก เพื่อให้ส่ง “กลิ่นพิเศษ” เหนือใคร ๆ
แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเฌอปรางจะเต็มไปด้วย “ความพิเศษและสวยงาม” แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่อยู่ในตัวเฌอปรางเองไม่ได้พิเศษหรือสวยงามตามไปด้วย อย่างการพูดจาหรือท่าทางของความเป็นผู้หญิง เฌอปรางออกจะเป็นคนพูดแข็ง ๆ ไม่ชอบที่จะลงท้ายด้วยคะขา จ๊ะจ๋า หรือแสดงความสุภาพเรียบร้อยอ่อนหวานอย่างที่ผู้หญิงทั้งหลายควรเป็น แม้ว่าการแต่งกายจะดูดีมาก ๆ แต่ด้วยท่าเดิน(ที่จริงชอบวิ่งมากกว่า)ก็ดูกระโดกกระเดก ยกแข้งยกขา ไม่ค่อยระมัดระวัง ทั้งยังพูดจาเสียงดัง และมักแสดงสีหน้าที่ถมึงตึงใส่ทุกคน เมื่อทำผิดหรือพูดไม่ดีกับใครก็ไม่เคยขอโทษหรือเสียใจ รวมทั้งที่ชอบใช้คำพูดแรง ๆ ในทำนองดูถูก หรือ “บุลลี่” ผู้คนต่าง ๆ อีกด้วย ดังนั้นตั้งแต่เด็กแล้วที่เฌอปรางไม่ค่อยจะมีเพื่อนหรือใคร ๆ มาคบ แต่เด็กหญิงเฌอปรางก็มีพรสวรรค์อยู่อย่างหนึ่ง คือเป็นคนทำงานไว ครูสั่งให้ทำอะไรก็ทำได้สำเร็จในเวลาที่เร็วกว่าเพื่อน รวมถึงผลการเรียนที่พอใช้ได้ โดยเฉพาะภาษาต่างประเทศ ที่เฌอปรางชอบแสดงความสามารถในเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ โดยคุยว่าที่บ้านคุณแม่ให้ดูแต่การ์ตูนที่เป็นภาษาต่างประเทศ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส
ตอนเฌอปรางเรียนอยู่ในชั้นมัธยม 6 ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย ก็เกิดรัฐประหารขับไล่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย เท่าที่ทราบจากข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ เธอจำได้แต่ว่านายกรัฐมนตรีหญิงคนนี้มีข้อเสียหายที่รุนแรงมาก ๆ คือ “โง่” เช่น อ่านถนนคอนกรีต เป็น “ถะ หนน คอ นก รีด” หรือเรียกหาดใหญ่ที่เป็นอำเภอว่าเป็นจังหวัด หรือเวลาที่เจอแขกต่างประเทศก็อ่านภาษาอังกฤษตามโพยที่เขียนมาให้ทุกตัวอักษร แม้กระทั่งที่คนเขียนเขาให้ขอบคุณ 3 ครั้ง โดยเขียนไว้ในวงเล็บว่า (Thank you 3 times) เธอก็อ่านเต็มทั้ง 4 คำในวงเล็บนั้น ทำให้คนที่ “เก่งภาษา” อย่างเธอเผลอหัวเราะตามไปด้วย และเกิดความคิดว่าถ้าได้ไปมีตำแหน่งใหญ่โตแบบนั้น จะไม่ขอทำอะไรที่เป็นการปล่อยไก่หรือ “แสดงความโง่” แบบนั้นออกมา
ด้วยความที่เธอเก่งภาษา ทำให้เธอมีคะแนนพิเศษตอนสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ที่เปิดโอกาสให้ “เด็กเก่ง” ได้เลือกคณะเรียนในการรับนักศึกษาในรอบแรกของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้นเสียก่อน โดยเฌอปรางได้เลือกเรียนในคณะเศรษฐศาสตร์ภาคพิเศษแบบ 2 ภาษา คือเรียนเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก ซึ่งก็เป็นไปตามที่พ่อแม่ของเธอใฝ่ฝัน และได้เอาเรื่องที่ลูกเข้ามหาวิทยาลัยได้โดยที่ไม่ต้องสอบคัดเลือกนี้ ไปคุยโอ้อวดกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงอยู่เสมอ ๆ รวมถึงความทะเยอทะยานของลูกสาวที่อยากจะเป็นนักการเมืองจนถึงระดับผู้นำของประเทศ และรวมถึงที่ลูกสาวบอกว่าจะไม่ทำตัว “งี่เง่า” แบบอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยนั้นด้วย
ในมหาวิทยาลัย เฌอปรางไม่ค่อยได้แสดงความห้าวอย่างที่เป็นอยู่ในตอนเรียนมัธยม แต่ก็อาจจะเป็นเพราะเธอชอบที่จะเอาชนะ “อวด” ใครต่อใครอยู่เป็นประจำ อีกทั้งคณะที่เธอเรียนก็ค่อนข้างยาก ต้องศึกษาค้นคว้าอย่างหนัก แม้เธอจะได้เปรียบในเรื่องภาษาที่เป็นพรสวรรค์มาแต่ก่อน แต่เรื่องวิชาการเธอก็ต้องสร้างการยอมรับ ซึ่งเธอก็โชคดีที่จบมาด้วยปริญญาบัตรเกียรตินิยมอันดับ 2 (ที่พ่อแม่ของเธอก็เอาไปโอ้อวดกับใคร ๆ ได้อีก แต่ใช้คำพูดว่าเกียรตินิยมเฉย ๆ ไม่ได้พูดเต็ม ๆ ว่า อันดับ 2 แต่อย่างใด) ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้ชื่อว่าเป็น “ดาวกิจกรรม” คือชอบร่วมงานกิจกรรมต่าง ๆ ของคณะ เธอเป็นสมาชิกหลาย ๆ ชมรม รวมถึงชมรมของคณะอื่น ๆ นั้นด้วย แต่ที่สำคัญเธอชื่นชอบกิจกรรมทางการเมือง อย่างที่เธอชอบการอภิปรายของอาจารย์บางคน โดยเฉพาะอาจารย์ที่ชอบพูดถึงการเมืองประเทศฝรั่งเศสและด่าทอ “กระฎุมพี” แม้เธอจะรู้สึกว่าตัวเธอเองก็เป็นเป้าของการพูดกระทบนั้นอยู่มาก แต่เธอก็ไม่ได้โกรธแค้นหรืออับอายอะไร เพราะเธอได้รับฟังถึง “คนอื่น ๆ” ที่ถูกนักวิชาการดังกล่าวก่นด่ามากยิ่งกว่านั้น แล้วยิ่งได้ยินจนถึงขั้นที่ว่า สุดท้ายคนพวกที่ทำตัว “น่าเกลียด” แบบนี้ ได้ถูกประชาชนคนฝรั่งเศสล้มล้างและ “ทำร้าย” ต่าง ๆ เธอก็ยิ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
เธอมองว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอนาคตของเธอและคนอายุเท่าเธอ เธอต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว!