ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“...ผมห่างเหินจากการอ่านเรื่องราวของ “ความรู้สึกรัก” มาเนิ่นนาน..ด้วยวารวัยของชีวิตที่ล่วงผ่านสู่ห้วงขณะที่จักต้องผ่อนพักความรู้สึกอันโลดทะยานแห่งฟุ้งฝันลงเสียบ้าง...แต่ในความเงียบสงบนั้น..หนังสือหลายๆเล่มที่ได้อ่านเพื่อชุบชูหัวใจ..กลับให้พลังอันอ่อนโยนแก่ผมขึ้นมา...อย่าปฏิเสธความรู้สึกรักเลย..ไม่ว่าคุณจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม..เพราะ..อารมณ์อันบริสุทธิ์ของมัน..เปรียบเสมือนกับกลิ่นอายของดอกไม้หอม..ที่ทั้งชุบชูและโอบประคองชีวิตให้รื่นรมย์ได้..แม้จะตกอยู่ในห้วงเหวแห่งความมืดมนใดๆก็ตาม..เปรียบประหนึ่งองคาพยพของต้นไม้ทุกๆต้น..ซึ่งแม้วันไหน..ลำต้นของมันจะถูกตัด..แต่กระนั้นมันก็ยังมีรากแห่งความทรงจำเหลืออยู่..เป็นนิรันดร์..”
ความนัยอันสะพรั่งบานของหนังสือเล่มเล็ก.. “ฉันจะเป็นดอกไม้ของเธอเสมอ” แตกดอกออกช่อแห่งนัยของ “ความรู้สึก” ที่คละเคล้าอยู่ด้วยน้ำตา และ รอยยิ้มโดย.. “อิสญะ” ..นักเขียนความรู้สึกรัก..ผู้เคยปลูกสร้างอารมณ์อันพลิ้วไหวไว้ใน.. “แล้วเราจะกลับมาพบกันในวันคิดถึงกันมากพอ..” และ.. “นาซ่าก็พาเธอกลับมาไม่ได้” ..ผลงานเขียนที่แนบเนาหัวใจอันอ่อนโยน..และยากจะลืมเลือน..
“อย่าปล่อยให้ตัวเองเหี่ยวเฉา...เพียงเพราะถูกเจ้าผีเสื้อขโมยเกสร../..อย่าปล่อยให้ใครขโมยความสดใสไปจนหมด..เพียงเพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ”..
“อิสญะ” แบ่งบทตอน และสร้างนัยความหมายแห่งงานเขียนของเขาด้วยนิยามของดอกไม้ในแต่ละชนิด.. “อย่าลืมฉัน” (For Get Me Not)..ดอกไม้แห่งความสัตย์ซื่อ และจะไม่ลืมกันและกัน..แม้เมื่อใด/.. “ทานตะวัน”(Sunflower) ดอกไม้แห่ง..ความมั่นคงเชื่อมั่น..รักเดียว ใจเดียว../ “ไฮเดรนเยีย” (Hydrangea) ดอกไม้แห่ง..ความเข้าใจกัน..ดอกไม้แห่งความขอบคุณที่เข้าใจกันเสมอ..”/ “เดซี่” (Daisy)..ดอกไม้ในความหมายแห่งรักของฉัน...รักอันบริสุทธิ์..
ทั้งหมด..ถือเป็นกิ่งก้านอันงดงามแท้จริง..ที่ประกอบสร้างขึ้นเป็นพลังแห่งสีสันและรสชาติอันลึกซึ้งของ “หนังสือ” ..เล่มนี้..!
“ไม่ว่าฉันจะหยิบจับสิ่งของชิ้นใด/มันจะต้องมีเรื่องราวปนอยู่ทุกชิ้นไป/..บางความทรงจำที่เคยลืมไปแล้ว/ก็วนกลับมาพร้อมกับความคิดถึง/ตอนนั้นมันดีนะ..ไม่ว่าจะสุข หรือเศร้า/ความรู้สึกต่างๆมากมายในตอนนั้น/..กลับถูกกระตุ้นอีกครั้งในตอนนี้..” เครื่องเตือนใจสู่การไม่ลืมกัน..อยู่ที่ช่วงกลางแห่งสัมพันธภาพของชีวิต มันจะพ้องเหมือนกันเป็นแนวทางของชีวิตเสมอ..
“สักวันหนึ่งเราทั้งสองจะเติบโต/ไปในเส้นทางที่เราเลือกเดิน/แต่เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว/เราอาจจะไม่ได้มีกันและกันอีกต่อไป..”
ครั้นที่สุดแล้ว...ก็ต้องถึงการลาจากซึ่งอาจเกิดขึ้นด้วยเหตุและผลต่างกัน ...มันเกิดขึ้นระหว่างใจต่อใจ..ระหว่างความสุขสมและความทุกข์เศร้าที่ไม่อาจเข้าใจ..
“ไม่ต้องถามก็จะตอบ ว่ายังรักเขาอยู่/แค่ไม่รู้ว่าเรายังต้องการกันเหมือนเดิมไหม/เจ็บปวดลึกๆอยู่ในหัวใจ/เอื้อมคว้าออกไปก็เจอแต่ความผิดหวัง/โอบกอดเอาไว้ได้เพียงน้ำตา/และกาลเวลาก็จะไม่ช่วยอะไร/เพราะนี่คือโทษฐานของการคิดถึงคนที่ไม่ควรคิดถึง/..ครั้นเวลาล่วงผ่าน..ชีวิตถูกฉายแสงแห่งประสบการณ์มากขึ้น..ความกล้าแกร่งแห่งจิตใจจึงค่อยๆเบ่งบานทายท้า...กระทั่งทุกองศาของชีวิต..ตกอยู่กับความพอดี..
“แม้เธอจะเป็นดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง/และพร้อมจะแผดเผา/แต่ด้วยระยะห่างของเรา/ที่อยู่ห่างกันอย่างพอดี/ แสงสว่างที่สาดแสงส่องฉันอยู่ตรงนี้/จึงไม่ร้อนจนเกินไป/เมื่อทุกองศาอยู่ในความพอดี/ฉันจึงพร้อมเติบโต/เฉกเช่นทานตะวัน/ที่ได้รับความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์...”
ครั้นเมื่อชีวิตเติบโต..ก็ควรจะรู้และประจักษ์ว่า..จะต้องไม่ยอมปล่อยให้มันเหี่ยวเฉา..และอย่าปล่อยให้ความสดใสของจิตวิญญาณ..ต้องถูกสิ่งหนึ่งสิ่งใดขโมยไป.. “อย่าปล่อยให้ตัวเองเหี่ยวเฉา/..เพียงเพราะถูกเจ้าผีเสื้อขโมยเกสร/จงเบ่งบานเช่นดอกไม้/อย่าปล่อยให้ใครขโมยความสดใสไปจนหมด/เพียงเพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ/.. ภาวการณ์ดั่งนี้..คือความหมายที่ย้ำเตือนบอกกล่าวต่อธารสำนักของชีวิตเสมอ..ต่อการที่จะไม่ไหลไปสู่หลุมลึกแห่งมายาคติ..ที่ชีวิตอาจไม่สามารถปีนป่ายกลับคืน..
แม้..บางสิ่งของชีวิต อาจเปลี่ยนแปลงใดๆไม่ได้..แต่ก็ควรจะอดทนและยอมรับ..เพราะมันเป็นเรื่องจริงของเรา.. บางสิ่งบางอย่าง...เราก็อาจเปลี่ยนแปลงไม่ได้/ไม่ว่าจะลองด้วยวิธีไหน..มันก็เป็นเหมือนเดิม/..แม้สถานที่เดิมๆ จะยังฉายภาพเราซ้ำๆ/แม้มันจะยังคอยหลอกหลอนฉันอยู่ทุกวัน/แต่ฉันก็ดีใจที่ทั้งหมดนี้/มันเป็นเรื่องจริงของเรา/..ความปรารถนาที่จะเป็นตัวของตัวเอง..อาจเกาะเกี่ยวอยู่กับความรัก..เพราะความรักให้ข้อสรุปในการสร้างสิ่งทายท้าต่อตัวตนแห่งหัวใจของหัวใจเอาไว้ว่า..
“เพราะความรักได้เปลี่ยนแปลง..คนที่ไร้ตัวตนในสังคมอย่างฉัน..ให้กลายเป็นคนสำคัญของใครคนหนึ่ง/ฉันเพียงต้องการเป็นตัวของฉันเอง/ไม่มีความหมายเป็นสิ่งอื่นใด/แต่..มีความหมายเป็นตัวฉันเอง../
ที่สุดแล้ว..ความทายท้า..ก็สร้างความหาญกล้าสู่การมองหาคุณค่าของชีวิต..มันคือความหวังเงียบๆ แม้จะต้องตกอยู่กับความอ้างว้างในไร้หวังเพียงใดก็ตาม..
“ฉันพยายามมองหาคุณค่าของตัวเองในทุกวัน/แม้ว่าในวันนั้น ฉันจะถูกเธอทิ้งไปอย่างไร้ค่าก็ตาม” หากชีวิตเข้าใจในชีวิต..หากความรักเข้าใจในความรัก....คนเราก็ย่อมจะค้นพบทางเลือกอันผันแปรของตัวเอง..ว่ามันมีที่มาที่ไปจากสิ่งใดและมีรสชาติต่อการเสพสัมผัสเช่นไร..!
“ไม่ผิดเลยที่เธอเลือกเดินออกมา/จากความสัมพันธ์ที่เราไม่เคยเข้าใจกัน/ไม่ผิดเลยที่เธอเลือกเดินออกมา/จากความสัมพันธ์ที่ไม่ตรงกัน/ไม่ผิดเลยที่เธอเลือกเดินออกมา/เพราะรู้สึกว่าต้องพยายามเปลี่ยนมากเกินไป/ไม่ผิดเลยที่เดินออกมา/จากความรักที่ต้องทำให้เธอเสียใจอยู่ซ้ำๆ/และไม่ผิดเลยที่วันนี้เธอจะได้พบเจอใคร/คนที่ดีและเข้าใจเธอกว่าฉันในทุกๆอย่าง/เหตุนี้..ชีวิตจึงสามารถเข้าใจบริบทแห่งความเป็นจริงของชีวิตได้มากขึ้น..ผ่านวิถีแห่ง “บาดแผลน้ำตา” ที่โบยตี..ความตระหนักรู้จากรอยบาดเจ็บ..จะพร่ำสอนชีวิตให้จดจำ..!
"เมื่อความรักได้ทิ้งเราไปจนหมด/จึงเหลือเพียงสิ่งที่ถูกล่ามไว้กับโซ่..ที่เรียกว่าความผูกพัน/ ฉันเชื่อในความรักเสมอ...แต่ไม่เชื่อในเธออีกเเล้ว..”
เมื่อความสัตย์ซื่อ ..กลายเป็นความเจ็บปวด “ความรัก” จึงเป็น “ความแตกสลาย”..ที่ไร้กาลเวลาไป..ในเศร้าลึก.. “ฉันรู้สึกเหมือนแตกสลาย/ในตอนที่เธอปล่อยมือจากไป/หลังจากโอบกอดฉันครั้งสุดท้าย/ ความรักของฉัน..จึงไม่ต่างจากดอกไม้../ที่เธอ..เด็ดทิ้งเด็ดขว้างไว้ข้างทาง..”
ในที่สุด..การปลดปลงต่อรอยแผลแห่งความผิดหวังในความรักก็มาถึง..บทเรียนชีวิตเกิดจากแบบเรียนที่ต้องเรียนรู้และรับรู้อยู่ซ้ำๆ/มันคือภาพวาดของหัวใจที่ตอกสลักอยู่กับรูปรอยแห่งความรักอันบริสุทธิ์..ความพิสุทธิ์แห่งรักอาจสร้างทั้งความอิ่มเอมและเจ็บปวดต่อชีวิต..มัน..คือ “เครื่องเตือนใจ” ต่อลมหายใจที่ยากจะสลัดพ้น..คุณค่าแห่ง “ดอกไม้ของความรัก” อยู่ตรงนี้..อยู่ในมือของหัวใจที่ “ไม่ขว้างทิ้ง”.. “ยอมรับเสียเถิด..ว่าหัวใจที่เปลี่ยนไป/มันไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีกแล้ว..” ดั่งนั้น.. “เมื่อความรู้สึกถูกคั่นกลางระหว่างคำถาม/ว่าจะยอมปล่อย หรือยอมทน/จะยอมเจ็บเพียงหนึ่งครั้ง/หรือจะยอมทรมานแบบนี้ต่อไป/คำตอบของคำถามที่สับสนเหล่านี้/เธอคงจะได้สติ และตอบคำถามมันได้สักวัน/เพราะเมื่อเธอได้ค้นพบว่าเธอไม่สามารถเปลี่ยนอะไร/ในความสัมพันธ์ของเธอครั้งนี้ได้/สุดท้ายเธออาจจะต้องยอมปล่อย/เพราะมันง่ายกว่าที่จะต้องฝืนทน/สุดท้ายแล้วเธออาจจะเลือกยอมเจ็บ/เพราะมันดีกว่าที่จะต้องทรมานแบบนี้ทุกวัน..”
ปณิธานแห่งความเรียงโดยที่ “อิสญะ” ได้สร้างขึ้นคือความงดงามแห่งใจในผัสสะที่จับต้องและรู้สำนึกได้..ผ่านอารมณ์ร่วมที่แนบเนาและสั่นไหว...ผ่านความจริงของความรู้สึกจริง..ที่เป็นทั้งส่วนตัวและส่วนง่าย..อาจเป็นผัสสะที่เรียบง่ายหากจะจับต้องด้วยปรารถนาที่ดิ่งลึกและจริงจัง..หากแต่ถ้าลองสัมผัสด้วยอารมณ์ที่ง่ายงามอันบริสุทธิ์แล้ว...เราก็จะพบกับความจริงใจอันบริสุทธิ์ที่สื่อประกายของความหวังต่อมโนสำนึกที่สุกสว่างและอิ่มเอมออกมา..
แน่นอนว่า..ในหลายๆขณะชีวิตของเราก็ปรารถนาที่จะซึมซับนัยแห่งความเข้าใจด้วย “ภาษาใจ” ที่ไม่ลึกเร้นนัก..ความเรียบง่าย ในท่วงท่าที่กระชับและแหลมคม..กลับคือคำตอบแห่งคำถามที่แหลมคม..แม้เฉพาะกับคำถามอันเนื่องมาแต่ “ความรู้สึกรัก” อันเจ็บปวดและฝังลึก..เหล่านี้!
“คำตอบของคำถามที่สับสนเหล่านี้../เธอคง..จะได้สติ..และ สามารถตอบมันได้ในสักวัน/เพราะ..เมื่อเเธอได้ค้นพบว่า..เธอไม่สามารถเปลี่ยนอะไร/ในความสัมพันธ์ของเธอครั้งนี้ได้/...สุดท้ายเธออาจจะต้องยอมปล่อย..เพราะมันง่ายกว่าที่จะต้องฝืนทนสุดท้ายแล้ว เธออาจจะเลือกยอมเจ็บ..เพราะมันดีกว่า..ที่จะต้องทรมานแบบนี้..ทุกวัน"