ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

ความล้มเหลวหลายประการที่ตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯในความพยายามที่จะเป็นผู้ควบคุม “ระเบียบโลก” World Order เช่น การใช้ระบบการเงินและการค้าโลกอย่าง IMF ,WTO,SWIFT และ WORLD BANK เพื่อควบคุมการเงิน การค้าโลก โดยมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯเป็นเงินหลักของโลก หรือการใช้สหประชาชาติ UN ในการบังคับวิถีการเมืองโลกเป็นต้น

ทำให้สหรัฐฯและตะวันตกต้องพยายามมากขึ้นในการหามาตรการต่างๆ เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือควบคุมระเบียบโลก

หนึ่งในมาตรการนั้นก็คือการที่สหรัฐฯกำลังหาทางในการควบคุมแหล่งน้ำจืดของโลก

ในปีค.ศ.2022 สหรัฐฯได้กำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการตามแนวคิดที่เรียกว่า “The Global Water Strategy For 2022-2027” เพื่อยืนยันถึงจำเป็นในการแบ่งปั่นน้ำ และการเข้าถึงเป็นการทั่วไปในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำของโลก โดยสหรัฐฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อโครงการนี้

เราจึงควรมาทำความเข้าใจกับแนวคิดหลักของยุทธศาสตร์น้ำโลก แม้จะดูประหนึ่งว่ามันจะเป็นหลักการในการบริหารจัดการน้ำของโลก ซึ่งตัวหลักคือน้ำจืดที่มนุษย์ใช้สำหรับบริโภคและประกอบกิจการทางด้านเศรษฐกิจ แต่เบื้องลึกคือการวางอำนาจเหนือทรัพยากรน้ำ อันเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต

แต่ในทางตรงข้ามการใช้ทรัพยากรน้ำ ควรจะกระจายอำนาจแทนการรวมศูนย์ คือให้รัฐในแต่ละท้องถิ่นได้จัดรูปแบบที่ละเอียดอ่อนนี้ในการบริหารจัดการน้ำเป็นการเฉพาะ ไม่ใช่การทั่วไป นั่นคือการวางยุทธศาสตร์ ควรจะวางบนพื้นฐานองค์ความรู้และรูปแบบที่จัดการโดยรัฐบาลท้องถิ่น

ในเดือนธันวาคมค.ศ.2023 สหรัฐฯได้ขยายฐานในการครอบครองพื้นที่มหาสมุทรของรัฐแคริฟอร์เนียที่มีขนาดเป็น 2 เท่า ของพื้นที่รัฐแคริฟอร์เนีย ทั้งนี้สหรัฐฯได้สงวนสิทธิในพื้นที่เคลม ในการครอบครองทรัพยากรใต้ท้องทะเล ซึ่งครอบคลุมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคตที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้น

อนึ่งการขยายอาณาเขตบนไหล่ทวีปครอบคลุมบริเวณเนื้อที่ถึง 1 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 386,100 ตารางไมล์ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในอาร์กติกและทะเลแบริง

ทว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่แคนาดา และรัสเซียมีสิทธิที่จะเคลมได้ด้วยหลักการเดียวกัน

นอกจากนี้สหรัฐฯยังอ้างสิทธิเหนือไหล่ทวีปในอาณาบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติคแปซิฟิก และอ่าวเม็กซิโก ซึ่งการกระทำดังกล่าวของสหรัฐฯ จะนำไปสู่ความขัดแย้งและอาจเป็นต้นเหตุของสงครามครั้งใหม่ ที่จะกลายเป็นสงครามโลกได้

อีกเรื่องหนึ่งที่ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่สหรัฐฯใช้หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ นั่นคือองค์การอนามัยโลก WHO ในการเข้ามาลิดรอนอำนาจอธิปไตยของประเทศต่างๆในโลกด้วยการจะดำเนินการให้ชาติสมาชิก ทั้งหลายได้ลงนามในสัตยาบันที่จะยินยอมให้ WHO ได้กำหนดนโยบายและแนวทางในการปฏิบัติที่จะทำให้ WHO มีอำนาจเหนือรัฐทั้งหลาย ภายใต้ข้ออ้างของการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรด ภายหลังจากที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และนำมาสู่การบังคับฉีดวัคซีน ตลอดจนการชี้นำให้ใช้ยารักษาโรค ซึ่งทั้งวัคซีนและยารักษายังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะยืนยันว่ามันได้ผลจริงตามอ้าง ที่สำคัญที่มาของโรคระบาดแม้จะยังไม่อาจบ่งชัดว่ามาจากที่ใด แต่ชัดเจนคือเป์นฝีมือมนุษย์ตัดต่อพันธุกรรม

ข้อตกลง Pandemic Agreement (ข้อตกลงการแพร่ระบาด) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทันทีที่มีการลงนามในข้อตกลงโดยเดิมทีตั้งเป้าไว้ภายหลังการประชุม WHO ที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยมีเนื้อหาสรุปดังนี้

1.WHO จะเป็นองค์กรเดียวที่สามารถประกาศโรคระบาดในแต่ละพื้นที่ และการระบาดใหญ่ทั้งหมด และประเทศสมาชิกของ WHO จะต้องยอมรับในการหาเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการนี้ โดย WHO จะมีบทบาทสำคัญในการประสานงานด้านสุขภาพทั่วโลก

2.การตัดสินใจของ WHO จะมีผลผูกพันทางกฎหมายต่อรัฐภาคี เช่น การบังคับใช้หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม การล็อกดาวน์ และอื่นๆ

3.สนธิสัญญาด้านสุขภาพ หรือข้อตกลงระหว่างประเทศ ทั้งหมดนี้จะมีผลผูกพันที่ทำให้ WHO มีอำนาจบังคับให้รัฐบาลแต่ละประเทศต้องออกกฎหมายมารองรับ คำสั่งหรือมาตรการที่ WHO ได้ประกาศใช้บังคับเพื่อป้องกันโรคระบาด

4.ข้อตกลงด้านสุขภาพนี้ จะมีผลทำให้ต้องยกเลิกสิทธิมนุษยชนในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ และสถานการณ์ฉุกเฉิน หมายความว่า ผู้ป่วยไม่มีสิทธิปฏิเสธการรักษา หรือการป้องกันตามคำสั่งของ WHO อันอ้างได้ว่าเป็นภัยคุกคามประเทศอย่างร้ายแรง ทั้งนี้รวมถึงการจำกัดสิทธิของสหภาพแรงงานหรือสิทธิพลเมืองในด้านอื่นๆด้วย

5.หากรัฐไม่สามารถรับมือกับพลเมืองของตนได้ด้วยตัวเอง ก็จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจาก WHO และ UN เช่นการส่งกองกำลังเข้าไปบังคับใช้มาตรการป้องกันโรคระบาดตามประกาศของ WHO

นับว่าเป็นข่าวดีของชาวโลกที่การประชุมครั้งสุดท้ายของ WHO เรื่อง “ข้อตกลงโรคระบาด” ที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศต่างๆไม่สามารถตกลงกันได้ ในเรื่องข้อตกลงโรคระบาดและจะไม่มีการลงนามในข้อตกลงนี้ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลกที่กำลังจะมีขึ้น

อย่างไรก็ตามฝ่ายผู้คุมระเบียบโลกในปัจจุบัน คงยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ และอาจพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นเพื่อบีบคั้นให้ประเทศต่างๆต้องยอมลงนามในสัตยาบันดังกล่าว โดยที่มันเป็นการไปลิดรอนสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการค้าขาย

ดังนั้นภาคประชาชนจึงควรติดตามความเคลื่อนไหว อย่าปล่อยให้รัฐบาลของตนไปลงนามโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นท่านอาจตกเป็นเหยื่อในการบังคับใช้กฎหมาย อันจะมีผลต่อสิทธิเสรีภาพในการปกป้องชีวิตและสุขภาพของตน เหมือนเช่นที่เราถูกบังคับให้ฉีดวัคซีนดังที่ผ่านมา

คงต้องรอดูต่อไปว่าผู้คุมระเบียบโลกที่กำลังจะสิ้นอำนาจจะออกมาตรการใหม่ๆอะไรมาอีก อันจะมีผลทำให้เราต้องตกเป็นทาสของเจ้าอาณานิคมยุคใหม่ และใช้กลไกขับเคลื่อนอย่าง WHO หรือ WEF.