วันที่ 30 พ.ค.2567 เมื่อเวลา 09.50 น. ที่เนติบัณฑิตยสภา นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกฯ จะเดินทางเข้าทำเนียบฯ เมื่อไหร่ ว่า ยังไม่ทราบเพราะคำสั่งยังไม่ออก และความจริงก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องเข้าและตนไม่มีอะไรพูดไปกว่าสิ่งที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯได้พูดไปแล้ว นายกฯพูดตรงและครบทุกประเด็น ที่ผ่านมานายกฯมาพบตนมาขอให้ตนไปช่วย ตนก็ได้บอกไปว่าสุขภาพไม่ดีเปิดพุงให้นายกฯดูด้วยและที่สำคัญ 3 ข้อที่ตนปฏิเสธไป หนึ่งคือปัญหาสุขภาพ เมื่อก่อนเป็นแค่ไตอย่างเดียว วันนี้มีปัญหาเรื่องตาด้วยเพิ่งไปลอกตามา และสอง ช่วง 10 เดือนที่ตนห่างหายไปก็ไปรับงานอื่นหลายอย่าง หากต้องลาออกไปงานเขาก็จะเสีย
นอกจากนี้สาม มีเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาในบ้านที่ต้องจัดการ เลี้ยงหลานเลี้ยงลูกเดิมวางแผนไว้อย่างนั้น แต่นายกฯบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นให้ตนมาเป็นที่ปรึกษาก็ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรมากมาย ตนก็ได้แจ้งไปว่าไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับการยื่นบัญชีทรัพย์สิน นายกฯเลยบอกว่าไม่ต้องเป็นที่ปรึกษานายกฯตามตำแหน่ง โดยที่ปรึกษามีสองแบบ คือที่ปรึกษาโดยเจาะจงที่มี 5 คนและตั้งไปครบแล้วตนไม่ยอมเป็นอันนั้นแน่ เพราะการเป็นข้าราชการการเมืองต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน แต่มีที่ปรึกษาอีกเยอะที่สามารถตั้งได้ อย่างที่นายกฯเคยตั้งนายกิติรัตน์ ณ ระนอง และอีกหลายคน นายกฯเลยบอกให้มาเป็นที่ปรึกษาแบบนี้ ที่ไม่มีห้องทำงาน ไม่มีรถประจำตำแหน่ง ไม่มีเงินประจำตำแหน่งมีแต่เบี้ยประชุม และได้ขอให้ช่วยทำในบางเรื่องที่รัฐบาลมีปัญหา ซึ่งตนก็ได้ถามไปเหมือนกันว่าทุกวันนี้มีปัญหาอะไร ก็เห็นทำได้ดีอยู่ แต่นายกฯบอกว่ามีปัญหาอยู่เหมือนกันเพราะบางทีเกิดความไม่แน่นอนขึ้นมา และในคณะรัฐมนตรีไม่มีนักกฎหมาย บางทีก็มีการทักท้วงกันระหว่างผู้ไม่รู้กับผู้ไม่รู้ หรือบางครั้งก็มีการทักท้วงจากคนข้างนอก
เพราะฉะนั้นนายกฯเลยบอกว่า อาจจะส่งประเด็นที่มีการทักท้วงการให้ตนดูก่อน ซึ่งตนก็บอกว่าหากเป็นเช่นนั้นก็ได้ ให้เป็นที่ปรึกษาสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้วกันจะได้ไม่โลว์โปรไฟว์และตนจะช่วยดูวาระคณะรัฐมนตรีที่สำคัญบางเรื่อง ซึ่งนายกฯบอกว่าว่าก็ได้ แต่ตอนหลังมีคนมาบอกตนว่าได้ไปคุยกับบรรดาหัวหน้าพรรคการเมืองทั้งหลาย และเขาอยากให้ตนเข้ามานั่งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย คอยยกมืออาจจะท้วงหรือแถมในระหว่างประชุมจะได้ไม่เสียเวลา ไม่เช่นนั้นหากมีมติไปก่อนแล้วไปเช็กทีหลัง ตนก็ทักท้วงไปว่าในที่ประชุมมีกฤษฎีกา มีกระทรวงยุติธรรมอยู่ก็น่าจะช่วยได้ รัฐมนตรีหลายคนก็เป็นนักกฎหมาย เช่นนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน นายกฯบอกว่าบางเรื่องเป็นอย่างนั้นได้ แต่บางเรื่องรัฐบาลต้องการความเห็นที่กลางๆ กรณีนายพีระพันธุ์ ถ้าพูดอะไรในขณะที่เป็นรมว.พลังงานด้วยมันจะลำบาก ตนจึงบอกว่าแล้วแต่นายกฯไปจัดการ แต่ได้แจ้งไปว่าหากนายกฯ สามารถหารองนายกฯที่ช่วยดูเรื่องนี้ได้เมื่อไหร่ตนก็จะขอกลับไปทำงานอย่างเดิม
เมื่อถามว่าสรุปแล้วตำแหน่งที่รับเป็นที่ปรึกษาสลค. หรือที่ปรึกษาของนายกฯ นายวิษณุ กล่าวว่า ตอนแรกเป็นที่ปรึกษาสลค. แต่มีอุปสรรค์หลายอย่าง เช่นจ่ายเบี้ยประชุมไม่ได้ และไม่มีสิทธิเข้าไปดูเอกสารและเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี ตนก็เลยได้ยินว่าจะให้ตนเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ ความจริงการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีไม่มีปัญหาใครเข้าก็ได้ แต่ถ้าเป็นที่ปรึกษาสลค.จะพูดอะไรไม่ได้ แต่การเป็นที่ปรึกษาของนายกฯสามารถพูดได้
เมื่อถามว่าการเข้ามาครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ กลุ่ม 40 สว.ยื่นสอบคุณสมบัตินายกฯใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวอะไรเลย
เมื่อถามย้ำว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯจะปรึกษาเรื่องนี้ นายวิษณุ กล่าวว่า เป็นไปได้ และคงต้องทำอยู่แล้ว เพราะเวลาเขามีอะไรเขาก็ต้องปรึกษา สมัยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯมีคดีความก็ส่งมาให้ตนดู แต่ยืนยันกรณีกลุ่ม 40 สว.ตนไม่เป็นหัวขบวน นายพิชิต ชื่นบาน อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ เป็นเจ้าของเรื่อง มีทนาย มีกฤษฎีกา อัยการ ช่วยทำให้ แต่การที่มีหลายทีมอาจทำให้มีความคิดเห็นขัดกัน จึงให้ตนเข้าไปช่วยดูด้วยว่าแต่ละคนที่มีความเห็นคนละด้านจะนำมาผสมกลมกลืนอย่างไร
เมื่อถามว่าเท่าที่ดูคิดว่านายเศรษฐา จะสู้คดีได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ยังไม่อยากตอบตอนนี้เพราะยังไม่เห็นคำร้องของ 40 สว.ว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะพูดให้สื่อมีความหวังก็ขอตอบว่ามันก็มีหนทางที่จะสู้คดีอยู่ สู้แล้วชนะหรือไม่ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่ามีโอกาสที่จะสู้คดีได้ แต่จะฟังขึ้นหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าการที่เข้ามาอาจต้องดูเรื่องที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯจะกลับประเทศไทย และคดีของนายทักษิณ ด้วย นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่จริง เพราะความจริงการจะเอา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับมาไม่ยากเลย ซื้อตั๋วส่งไปให้แกก็กลับมาได้แล้ว ปัญหาคือมาแล้วต้องถูกจำคุก 5 ปี ตามที่ศาลตัดสินไว้ แล้วตนจะไปช่วยอะไรตรงนี้ได้ หรือกรณีของนายทักษิณ ก็ไม่มีใครช่วยอะไรได้ ที่ผ่านมาเพราะนายทักษิณ ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ แล้วตนจะไปช่วยอะไรได้เขาก็ต้องทำของเขาเอง
เมื่อถามว่า การประสานให้เข้ามาทำงานกับรัฐบาลครั้งนี้ มีกระแสข่าวว่ามาจากขั้วอำนาจเดิมโดยเฉพาะจาก “ปลัด ฉ.” นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเลย
เมื่อถามว่า รู้จัดปลัด ฉ. หรือไม่ นายวิษณุ ตอบว่า ปลัดฉิ่ง (นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย) หรือ ตนรู้จักดี แต่ไม่ได้เป็นคนประสาน เพราะคนที่ประสานคือนายกฯ นายกฯโทรศัพท์มาตั้งแต่อยู่ที่อิตาลีว่ากลับมาแล้วจะมาพบ แต่ไม่รู้ว่ามีใครไปบอกกับท่านหรือไม่ ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่เคยติดต่อกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี เพราะท่านไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่ได้ติดต่อ
เมื่อถามอีกว่า หลังมีข่าวออกมา โซเชียลได้ไปขุดคำพูดของนายกฯที่กล่าวถึงนายวิษณุ ว่าไม่มียางอาย นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ติดใจอันนี้เหมือนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเคยพูดถึงตนไว้ ตอนนั้นตนก็แลกไปคนละหมัดแล้ว
เมื่อถามอีกว่านายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นการว่าที่ความ ไม่ใช่ว่าที่คน นายวิษณุ กล่าวว่า อันนี้จริง นายกฯก็พูดกับตนแบบนี้เช่นกัน นายกฯบอกว่าเราเอาความเป็นใหญ่ และตนรู้จักนายเศรษฐามาก่อน นานแล้ว
เมื่อถามอีกว่าทำไมถึงใจอ่อน เพราะคนในโซเชียลก็โจมตีว่าเป็นการตระบัดสัตย์ นายวิษณุ กล่าวว่า “ก็ผมไม่รับไง เพราะถ้าผมตระบัดสัตย์ผมก็เป็นรองนายกฯไปแล้ว ผมอุตส่าห์เขียนหนังสือ “ทะเลกับหาดทราย” วันหนึ่งทะเลซึ่งก็คือการเมืองมันคงขึ้นมาซัดทรายอยู่เรื่อยๆ ที่หมอดูเคยทายเอาไว้วันนี้ก็มาถึง แต่ให้เป็นรองนายกฯผมไม่เป็น เพราะเคยบอกแล้วว่าใครมาชวน จะเปิดสะดือให้ดูแล้วก็เปิดให้ดูจริงๆ และผมไม่หนักใจการวิจารณ์ในโซเชียล ระบอบประชาธิปไตยใครจะว่าอะไรก็ว่าไปข้อสำคัญ สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง บริสุทธิ์ ที่ไม่บริสุทธิ์ใจ ย่อมรู้อยู่แก่ตัวเอง"
เมื่อถามว่า ถ้ายังไม่มีรองนายกฯด้านกฎหมายก็จะนั่งตำแหน่งนี้ยาวเลยใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็ไปถึงจังหวะพอสมควร ถ้านานไปตนก็มีเหตุผลร้อยแปดที่จะบอกนายกฯ