วันที่ 27 พ.ค.2567 เวลา 12.00 น. ที่รัฐสภา นายสมชาย แสวงการ สว.ในฐานะผู้นำยื่นรายชื่อ 40 สว.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัตินายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ว่า เป็นการทำหน้าที่ของสว.ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ หรือปิดเป็นความลับ แต่เมื่อฝ่ายค้านไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบก็เป็นหน้าที่ของสว.ที่จะต้องดำเนินการ เพราะเห็นว่าเป็นกรณีที่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ โดยเฉพาะคุณสมบัติของคนที่เป็นรัฐมนตรีจะต้องเหนือกว่าคุณสมบัติของสส. จะต้องไม่มีความผิดเรื่องจริยธรรมหรือมีเบื้องหลัง

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องของบ้านเมือง คนเป็นนายกฯ จะต้องรับผิดชอบต่อการนำรายชื่อรัฐมนตรีที่ขัดคุณสมบัติขึ้นทูลเกล้าฯ แม้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้สอบถามคุณสมบัติของนายพิชิต ต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว แต่เป็นการถามเฉพาะรัฐธรรมนูญมาตรา 160 อนุ 6 และ 7 ถือเป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะควรถามมาตรา 160 ทั้งมาตรา ไม่ใช่แค่อนุใดอนุหนึ่ง ไม่ทราบว่าทำไมถึงถามแค่นี้ เป็นเรื่องที่นายเศรษฐา จะต้องไปชี้แจงต่อศาลฯเอง เพราะสว.ได้ตรวจสอบแล้วว่ามีการสอบถามกฤษฎีกาไปแค่ครั้งเดียว คือตั้งแต่การตั้งครม.เศรษฐา 1 เมื่อเดือนก.ย. 66 แต่การปรับครม.ครั้งล่าสุด เมื่อเดือนเม.ย. 67 ไม่มีการสอบถามเรื่องคุณสมบัติของนายพิชิต เพิ่มเติมต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งที่ควรสอบถามไปเพิ่มเติมว่านายพิชิตมีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีควบถ้วนตามมาตรา 160 และมาตราอื่นๆหรือไม่

“เรื่องนี้นายเศรษฐา รู้อยู่แล้วว่านายพิชิตมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ดังนั้น การที่นายเศรษฐา เป็นผู้ถูกร้องที่ 1 ถือว่าถูกต้องแล้ว เพราะต้องรับผิดชอบต่อการนำรายชื่อครม.ขึ้นทูลเกล้าฯ ถ้ารู้ว่านายพิชิตมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ แต่ยังนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ นายกฯก็จะมีความผิดจริยธรรมร้ายแรง” นายสมชาย กล่าว 



นายสมชาย กล่าวต่อว่า ส่วนที่ไม่เปิดเผยรายชื่อ 40 สว.ตั้งแต่ตอนแรก เพราะเคยเกิดกรณีการนำชื่อสว.ที่ลงชื่อตรวจสอบข้อพิพาทกรณีเขาพระวิหารไปเล่นงานสว. รวมถึงครอบครัวของสว.ที่ร่วมลงชื่อ อีกทั้งสว.ที่ลงชื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากถูกตามสัมภาษณ์ หรือถูกล็อบบี้ให้ถอนชื่อ เพราะแม้แต่วันที่ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็ยังมีความพยายามให้สว.ถอนชื่อออกมาแต่ไม่สามารถถอนชื่อได้แล้ว ทั้งหมดนี้จึงมีความจำเป็นต้องปกปิดรายชื่อ และข้อมูลทั้งหมด ข้อมูลเหล่านี้อยู่ที่ตนคนเดียว เพราะมีการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญถึง 14 ครั้ง โดยตนเป็นคนตรวจคนสุดท้าย และเป็นผู้ยื่นต่อศาลด้วยตัวเอง แต่รายชื่อ 40 สว.ที่หลุดออกไป เป็นผลมาจากผู้ถูกร้องไปยื่นขอคัดร้องคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนรายชื่อเดิมจะมีสว.ลงชื่อเกือบ 100 คน ทั้งๆ ที่ใช้รายชื่อเพียง 25 คนเท่านั้น แต่ตนเห็นว่าได้รายชื่อ 40 คนก็มากเพียงพอแล้ว บางคนแม้ไม่เข้าชื่อก็มีส่วนร่วมในการตรวจสอบร่างที่ยื่นต่อศาลฯ หรือบางคนก็ถูกขอร้องไม่ให้เซ็นชื่อ  ฉะนั้น ทุกคนลงชื่อด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาขอร้อง



เมื่อถามว่าการกล่าวหาว่ามีการปลอมรายชื่อสว.ที่ร่วมลงชื่อนั้น นายสมชาย กล่าวว่า กำลังจะพิจารณาว่าจะมีการฟ้องดำเนินคดีหรือไม่ เพราะคนที่เข้าร่วมลงชื่อเสียหาย และยืนยันว่าไม่มีการปลอมรายชื่อแน่นอน เพราะหากมีการปลอมถือว่าผิดกฎหมายเหมือนกรณีสส.เสียบบัตรแทนกัน ที่ศาลมีการตัดสินไปแล้วว่าผิดและมีการตัดสิทธิ์

เมื่อถามว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุว่ารู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ เกรงหรือไม่ว่าจะสว.จะถูกเช็คบิลย้อนหลังหรือไม่ นายสมชาย กล่าวยืนยันว่า ไม่มีความกังวลที่จะถูกตามเช็คบิลย้อนหลัง ตนเห็นด้วยหากนายทักษิณกลับไปเลี้ยงหลานดีแล้ว แต่ถ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นนายกฯเงา อาจจะมีความผิดข้อหาเกี่ยวกับเรื่องการครอบงำ แทรกแซง อาจทำให้นายเศรษฐาโดนสองเด้งได้

“เรื่องนี้นายเศรษฐาจะต้องไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเชิญนายเศรษฐา ,ครม.และคณะกรรมการกฤษฎีกา สภาทนายความ ไปไต่สวน หรือถ้าจะเชิญผู้ร้องไปไต่สวนผมก็พร้อมไปชี้แจง คาดว่าใช้เวลา 2 เดือน ถ้าศาลฯวินิจฉัยว่านายเศรษฐา มีความผิด นอกจากจะต้องสิ้นสภาพการเป็นนายกฯแล้ว จะต้องมีการดำเนินคดีทางอาญาต่อนายกฯ อาจจะไปยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) หรือศาลฎีกาดำเนินคดีต่อไป” นายสมชาย กล่าว

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่นายกฯจะไปยุ่งกับพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับกรรมการกฤษฎีกา และครม.ที่เป็นหน่วยงานในสังกัดของนายกฯ นายสมชาย กล่าวว่า เชื่อว่าเลขาธิการกฤษฎีกา และเลขาฯครม. แม้จะอยู่ภายใต้ครม. แต่จะทำหน้าที่โดยสุจริต บิดเบือนข้อมูลไม่ได้ การไปยุ่งเหยิงกับพยานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้