วันที่ 26 พ.ค.67 ที่ บก.สอท.1 พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 เปิดเผยว่าสืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์ได้สืบสวนหาเบาะแสการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืน ผิดกฎหมายบนโลกโซเชียล เพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรีและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทั่งพบข้อมูลว่า มีผู้ใช้แพลตฟอร์ม Marketplace ของแอปพลิเคชัน Facebook โดยใช้ชื่อบัญชี “ลูกตอก แม่นเป้า” โพสต์ขายกระสุนปืน และยังมีการโพสต์ภาพเครื่องกระสุนปืนเป็นจำนวนมาก พร้อมรายละเอียดต่างๆ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่สนใจในการสั่งซื้อทางออนไลน์ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ

ต่อมา   พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์  จึงส่งเจ้าหน้าที่ออกสืบสวนสอบสวนกรณีดังกล่าว เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย โดยมอบหมายให้ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 ดำเนินการ จนกระทั่งสืบพบข้อมูลเพิ่มเติมว่า เจ้าของบัญชี เฟซบุ๊ก “ลูกดอก แม่นเป้า” ยังมีบัญชี YouTube ชื่อเดียวกันซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 2,500 คน ได้โพสต์วิดีโอคลิปนำเสนอประสิทธิภาพของกระสุนปืนที่ทางร้านค้าออนไลน์เป็นผู้ผลิตเองด้วย พร้อมระบุรายละเอียดช่องทางการสั่งซื้อกระสุนกับร้านค้าดังกล่าว

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจนทราบข้อมูลเจ้าของเฟซบุ๊กและสถานที่ผลิตกระสุนปืนดังกล่าว จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายค้นเป้าหมาย กระทั่ง พ.ต.อ.กฤติน ตปสีโล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด สนธิกำลังร่วมกับชุดสืบสวน สภ.ศรีสัชนาลัย ร่วมกันนำหมายค้นศาลจังหวัดสววรคโลก ที่ 71/2567 ลงวันที่ 24 พ.ค.67 เข้าตรวจคนบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ที่ 1 ตำบลดงคู่ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย 

ผลการตรวจค้นพบของกลาง อาทิ กระสุนปืนกว่า 10,000 นัด อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ และเครื่องผลิตกระสุนปืนและอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งหมด 9 รายการ พร้อมจับกุมนายธวัฒน์ อายุ 34 ปี เจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กและยูทูบ “ลูกดอก แม่นเป้า” ในข้อหา “ทำ ซื้อ มี ใช้ สั่ง หรือนำเข้า ซึ่งอาวุธปืนหรือ เครื่องกระสุน เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่”, “ทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่ง นำเข้า มี หรือจำหน่าย ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้า” และ “ครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน” นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมเตรียมขยายผลเพิ่มเติม หากพบข้อมูลว่ามีเครือข่ายหรือองค์กรใดมีพฤติการณ์เกี่ยวข้อง ให้ปราบปรามจับกุมอย่างเฉียบขาดต่อไป