ดร.นิตยา โสรีกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ชุดสายตรวจสรรพสามิตที่ 4.2 ฝ่ายป้องกันและปราบปราม 4 สำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม บูรณาการร่วมกับตำรวจกองบังคับการปราบปราม ได้ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบคลังน้ำมันตามที่ได้มีการติดตามสืบค้นข้อมูลว่าคลังดังกล่าวมีการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต โดยได้มีการนำรถโมบายตรวจวิเคราะห์น้ำมัน กรมสรรพสามิตลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ ซึ่งพบน้ำมันดีเซลมิชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 44,100 ลิตร พร้อมผู้ต้องหา 1 ราย ได้ที่ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จึงได้แจ้งข้อหาตามมาตรา 204 ขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าที่เป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน แห่ง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 เพื่อดำเนินคดีต่อไป โดยมีการเปรียบเทียบปรับเป็นจำนวนเงิน 1,988,028 บาท ภาษีสรรพสามิต จำนวน 208,004 บาท และภาษีมหาดไทย จำนวน 20,800.40 บาท
ดร.นิตยา กล่าวว่า การดำเนินการสืบค้นเข้าตรวจสอบและพบน้ำมันเถื่อนในครั้งนี้ เป็นการที่ทางกรมสรรพสามิตได้บูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกับตำรวจกองบังคับการปราบปราม พร้อมทั้งกรมฯ ได้มีการยกระดับการสืบค้น ติดตามข้อมูล จนสามารถเข้าตรวจสอบและพบน้ำมันดีเซลมิชอบด้วยกฎหมายได้สำเร็จ ซึ่งทาง กรมสรรพสามิตได้มีการดำเนินงานในเชิงรุก อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ และที่สำคัญคือมีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก ตามนโยบายของ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต ที่ให้ความสำคัญและต้องการให้เกิดประสิทธิภาพในปราบปรามสูงสุด เพื่อจับกุมขบวนการผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 อย่างเข้มงวด ไม่ให้สร้างความเสียหายหรือส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ
หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสหรือพบเห็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต สามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสายด่วน 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรืออีเมล์ [email protected]