วันที่ 25 พ.ค.67 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก "Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์" ระบุว่า...

“จตุพร” ปูดวงในอำนาจรำคาญดีลกลับบ้านทำล้ำเส้น คาดทักษิณดิ้นทำดีลใหม่ เจรจาเขี่ยเศรษฐาพ้นนายกฯ ก่อนศาล รธน.ตัดสิน แลกขยายเวลาฟ้องคดี 112 พร้อมได้ประกันตัว ส่วนคู่ดีลอีกฝ่ายขึงพืดจบดีลแล้ว ลั่น 29 พ.ค.ไม่อ่อนข้อให้ สั่งฟ้องคดี ไม่ได้ประกัน ติดคุก ป่วยก็อยู่ รพ.ราชทัณฑ์ ย้ำขายข้าว 10 ปีได้ไม่คุ้มเสีย แนะทำแอลกอฮอล์เกิดประโยชน์กว่า

เมื่อ 24 พ.ค. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า ทักษิณ ชินวัตร พยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อเปิดเจรจาดีลใหม่อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการต่อรองจะเขี่ยนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากนายกฯ เพื่อแลกกับตัวเองไม่ต้องติดคุกเป็นนักโทษในคดี ม.112 ซึ่งอัยการสูงสุดนัดฟังคำสั่งส่งฟ้องหรือไม่วันที่ 29 พ.ค.นี้

“วงในอำนาจรู้กันว่า จะเกิดการดีลใหม่ขึ้น โดยฝ่ายดีลกลับบ้านเสนอให้ นายกฯ ลาออกก่อนศาล รธน.จะวินิจฉัยคำร้อง และยังเจรจาให้เลื่อนคดี ม.112 ของทักษิณออกไปก่อน แต่คู่ดีลอีกฝ่ายขีดเส้นเน้นให้ยึดวันที่ 29 พ.ค.นี้ไว้ตามเดิม”

อีกทั้งกล่าวว่า กรณีศาล รธน.มีมติ 6 ต่อ 3 รับคำร้องไต่สวนนายเศรษฐา ซึ่งทุกฝ่ายล้วนคาดผลปลายทางได้ จึงเป็นที่มาของการพยายามเจรจาดีลกันใหม่เพื่อหนีจากสถานการณ์ว่า ถ้าจากนี้ไปจนถึงวันที่ 29 พ.ค. นายเศรษฐา ยังเป็นนายกฯ อยู่ ทักษิณต้องถูกสั่งฟ้องคดี ม.112 และไม่ได้ประกันตัว ดังนั้น ต้องกลับเข้าสู่เรือนจำ

นอกจากนี้ ยังมีอีกทางเลือกว่า ถ้านายเศรษฐา ลาออกจากนายกฯ ก่อนถึงวันที่ 29 พ.ค. ก็ฟ้องทักษิณตามเดิม แต่ได้ประกันตัว ส่วนทางเลือกที่สาม ทักษิณพยายามอย่างหนักกับการเจรจาให้ยึดเวลาสั่งฟ้องคดี ม.112 ออกไปและให้นายเศรษฐา ลาออกก่อนศาล รธน.วินิจฉัย

นายจตุพร กล่าวว่า การดีลกันที่ผ่านมา นับตั้งแต่ทักษิณกลับไทยเมื่อ 22 ส.ค. 2566 จนถึงปัจจุบันได้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่คุ้มค่ากับการดีล เพราะเกิดการล้ำเส้นและยังสร้างพรรคก้าวไกลให้เป็นศัตรูสมมุติเสียใหญ่โตเกินจริง ที่สำคัญกลับสร้างความเสียหายและท้าทายกระบวนการยุติธรรม โดยเพิกเฉยเหมือนคำพิพากษาไม่มีความหมายใดๆ และยังขัดพระบรมราชโองการ แล้วเอาดีลไปแลกดิจิทัลวอตเล็ตที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศพังพินาศยับเยิน

อีกทั้งก่อนกลับไทยนั้น ทักษิณ ทวีตเตอร์ออดอ้อนถึง 2 ครั้งว่า แก่แล้วขอกลับมาเลี้ยงหลาน แต่ความจริงเมื่อกลับมาได้ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น อ้างป่วยวิกฤตนอน รพ.ตำรวจ ชั้น 14 ถึง 6 เดือนแต่ไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ ว่าป่วยจริง และสังคมกังขาว่า ได้นอน รพ.จริงหรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อออกจาก รพ.ตำรวจยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อแป ทำความรู้สึกสังคมมึนงงว่าประเทศเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ยิ่งนำกรณีทักษิณนอน รพ.ชั้น 14 ไปเทียบเคียงกับกรณีของบุ้ง-เนติพร เสน่ห์สังคม ที่เสียชีวิตใน รพ.ราชทัณฑ์แล้ว ทั้งที่เป็นเพียงผู้ต้องหากลับไม่ได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับนักโทษเด็ดขาดหนีคดีทุจริตคอรัปชัน 17 ปี และเมื่อกลับไทยยังสารภาพว่าได้ทำความผิดจริง

นายจตุพร กล่าวว่า ทุกเรื่องที่ผ่านมามีแต่การสร้างปัญหา ล้ำเส้นจนเกินดีลกันมา ซึ่งไม่เชื่อว่าคณะดีลจะยินยอมให้ทำอะไรเพ่นพ่านสวนอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน อีกอย่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ยึดมั่นในความดีและซื่อสัตย์ต่างอึดอัดใจที่คณะดีลไม่มีปัญญาควบคุมดีลให้เป็นไปตามกำหนดเวลาจึงเกิดความเสียหายมาต่อเนื่อง

“ต้องติดตามช่วงเวลาจะถึง 29 พ.ค.นี้จะลงเอยกันอย่างไร ถ้าคณะดีลเป็นคนจริงด้วยกันหมดแล้ว เหตุการณ์ประเทศไทยจะพลิกอีกแบบ ดังนั้นทางเลือก 3 ทางดังกล่าวคือ หนึ่งถ้าจากนี้ไปถึง 29 พ.ค. นายกฯ ยังอยู่ในตำแหน่ง ทักษิณจะถูกสั่งฟ้อง ไม่ได้ประกันตัว สองสั่งไม่ฟ้องเพื่อรอล้มกระดาน และสามขยายเวลาออกไป” นายจตุพร ย้ำ

พร้อมทั้งกล่าวว่า จากนี้ไปต้องดูการตัดสินใจของเศรษฐาเป็นสำคัญที่สุด แต่ที่เหนือกว่าสิ่งใดนั้นทักษิณจะรักษาตัวเองหรือรักษานายเศรษฐา อย่างไรก็ตาม ทักษิณต้องพิจารณาก่อนว่า ได้กลับมาไทยเพราะเหตุใด และไม่ง่ายเลยที่ได้กลับมาเพราะรอนานถึง 17 ปี ดังนั้นเชื่อว่าทักษิณจะคิดเรื่องตัวเองมากกว่า ส่วนเศรษฐาจะเป็นแรงเหวี่ยงทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย

นายจตุพร เตือนขายข้าว 10 ปีว่า จะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะตลาดข้าวไทยมีมูลค่าเป็นล้านล้านบาทถูกนำไปแลกเงินขายข้าว 10 ปีแค่ 200 กว่าล้านบาท นอกจากนี้ถ้านำมาขายในประเทศคงกระทบร้านขายข้าว ซึ่งต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ไม่ใช่ข้าว 10 ปีมาขายให้คนไทยกิน

"ไม่ใช่เรื่องพิสูจน์จะมีสารก่อมะเร็งหรือไม่ แต่ประเทยไทยไม่ได้อดอยากถึงขั้นขาดข้าวกิน แล้วต้องกินข้าว 10 ปี สิ่งสำคัญคนไทยอาจจะกินโดยไม่รู้ ดังนั้นวันข้างหน้าคนตัดสินใจเรื่องนี้ควรเตรียมหาความรับผิดชอบไปด้วยก็แล้่วกัน"

นายจตุพร กล่าวว่า ข้าว 10 ปีควรนำไปทำเป็นแอลกอฮอล์มากกว่านำมากิน ถ้านำไปขายยิ่งทำให้ตลาดข้าวไทยเสี่ยงไปด้วย เพราะการแข่งขันส่งออกข้าวรุนแรง ซึ่งการขายข้าว 10 ปีจึงได้ไม่คุ้มเสีย