บทความพิเศษ / ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น)
ความตอนที่แล้วกล่าวถึงเรื่องโลกเดือด เนื่องจากเป็นปรากฏการณ์ความร้อนถึงกว่า 40 องศาฯ ที่สูงสุดในรอบหลายปี มีปรากฏการณ์สภาพอากาศแปรปรวนซึ่งเป็นสภาวะ "เอลนีโญ" (El Niño) และ “ลานีญา" (La Niña) เพราะวิกฤติความร้อนดังกล่าวมีผู้ประเมินว่าได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยเฉพาะคนยากจน ทำให้รายได้ตกต่ำลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 จึงเสนอให้สังคมตื่นตัวกดดันรัฐ กลุ่มทุนให้รับผิดชอบให้เกื้อกูลระบบนิเวศและมีภูมิคุ้มกันในภาวะโลกร้อน และลดก๊าซเรือนกระจก ได้มีการเสนอแนวคิดในการปลูกต้นไม้ ด้วยหวังว่าเป็นโอกาสในการช่วยลดโลกร้อนลงได้ อีกทั้ง อ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร (อ.ยักษ์) แห่งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติผู้รณรงค์ต้นแบบโครงการโคก หนอง นา โมเดล ก็ได้ออกมาชวนคนไทยตระหนักถึงเรื่องโลกร้อน โลกแล้ง โลกเดือด ชวนคนไทย ในทางหนึ่งมันมีผลต่อการแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดนอาเซียนตามข้อตกลงปี 2002 (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution) ที่กลุ่มชาติอาเซียน 8 ชาติได้รับรองแล้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2007 ด้วย
ปัญหาสิทธิที่อยู่อาศัยและที่ทำกินในพื้นที่
ด้วยที่ผ่านมา ป่าไม้ไทยได้หายไปถึงปีละแสนไร่ ทำให้เหลือพื้นที่ป่าไม้น้อย นอกจากนี้ยังมีนัยยะว่า การจำแนกพื้นที่ป่าไม้ของไทยนั้น แม้ว่าตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา รัฐได้มีนโยบายให้นำแผนที่ (One Map) หรือ “การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ แบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map)” มาใช้เพื่อแก้ปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐซ้อนทับกัน หรือลดข้อพิพาทในการชี้แนวเขตที่ดินลงก็ตาม ตัวอย่างง่ายๆ แผนที่ที่ดินทำกินที่ได้รังวัดและออกเอกสารให้แล้วกับพื้นที่จริง ส่วนใหญ่จะมีสภาพที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามภาพถ่ายทางอากาศเมื่อครั้งตอนรังวัด บางแปลงมีการรุกล้ำขยายพื้นที่เพิ่มมาก นอกจากนี้ปัญหาความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ปล่อยปละละเลย หรือมีเทคโนโลยีแต่ไม่ใช้ ไม่ยอมตรวจสอบสภาพพื้นที่เดิม จนหมดเขาเป็นลูกๆ เช่นที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่ป่าที่อุทยานฯ (เดิม) ทำให้โอกาสที่ทำกินของราษฎร ณ ปัจจุบันไปทับที่ดินของรัฐได้ ซึ่งนักวิชาการเห็นว่า ยังมีปัญหาเรื่องการทับซ้อนในที่ดินของรัฐถึง 1 ใน 3 ของพื้นที่ที่ดินของรัฐทั้งหมด ที่จะส่งปัญหาถึงการนำพื้นที่ป่าไม้หรือพื้นที่สาธารณประโยชน์ต่างๆ มาดำเนินการเพื่อประโยชน์แก่สาธารณชนและประชาชนได้ จากข้อมูลปี 2560 หน่วยงานรัฐมีที่ดินในครอบครองราว 60% ของทั้งประเทศ ข้อมูลปัจจุบันไทยมีพื้นที่ป่าไม้ 101 ล้านไร่ (37.47% ของพื้นที่ประเทศ) แต่ระบบการดูแลที่ดินที่สืบทอดกันมาขาดความเป็นเอกภาพ ในการกำกับดูแลที่ดินของรัฐ เกิดโครงการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินแก่ประชาชน เช่น โครงการ “แม่แจ่มโมเดล” (จ.เชียงใหม่) และ “น่านแซนด์บ็อกซ์” (จ.น่าน) รวมทั้งโครงการก่อนหน้า เช่น โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกินคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จ.ตาก โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (โครงการ จคพ. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 7 มิถุนายน 2537) เป็นต้น ที่กำลังร้องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมาศึกษาตรวจสอบรับฟังข้อเท็จจริงเพื่อแนะนำการแก้ไขปัญหาในสิทธิที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขา (ชาวม้ง) เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
จะมีหนทางใดให้ชาวบ้านอยู่กับป่า มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้โดยต้นไม้ยังอยู่
แต่ก่อนเมื่อ 80 ปีที่แล้ว (ราวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา) ชนบทไทยทุ่งนาเขียวขจีมีวิวสวยตั้งแต่ภาคเหนือลงไปถึงอ่าวไทยเลยไปยังภาคใต้ ทุ่งนาเคยเป็นป่าอันอุดมสมบูรณ์เหมือนกับป่าบนดอย แต่ตอนนี้ป่าไม้ได้หดหายไป เพราะปัจจุบันมีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาก ป่าต้นน้ำก็ถูกทำลายโดยคนรุ่นหลาน นอกจากนี้ในพื้นที่ภาคกลางมีการทำนาที่เน้นเชิงพาณิชย์มาก มีปัญหาระบบนิเวศน์และการทำลายดิน ยังพบว่าทุกวันนี้อะไรก็บนดอย ผักอาหารก็ใด้จากบนดอย คนบนดอยยังสำคัญอยู่โดยมีข้อพิจารณาว่า (1) ป่าไม้ในพื้นที่ราบถูกบุกรุกตัดไม้จนหมดเพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและการเพาะปลูกจากรุ่นสู่รุ่นโดยไม่มีการปลูกป่ามาทดแทน คนพื้นราบจึงโหยหาธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์จากบนดอย (2) ป่าพื้นที่สูงเป็นแปลงสำคัญกว่าที่ราบลุ่ม เพราะเป็นต้นน้ำ และเป็นตาน้ำแหล่งน้ำสำคัญอยู่หรือไม่ เพียงใด ที่กล่าวว่าบนดอยเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญก็ใช่อยู่ (3) ทุกวันนี้แหล่งน้ำพื้นราบส่วนหนึ่งมาจากการขุดเจาะบ่อบาดาลกันทั่วประเทศไทย สาเหตุความแห้งแล้งส่วนหนึ่งมาจากการดูดน้ำบาดาลมาใช้กันจนขาดความชุ่มชื้นในดินเวลาแล้งก็แล้งจัดเวลาร้อนก็ร้อนจัด เมื่อฝนตกดินก็ทรุดตัวเหล่านี้คงมิใช่คนบนดอยมิใช่ตัวการที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ (4) เปรียบเทียบสัดส่วนพื้นที่ทำกินคนบนดอยกับคนพื้นราบแต่ละครอบครัวก็มีพื้นที่ทำกินต่างกัน คือคนบนดอยจะมีพื้นที่ทำกินที่น้อยกว่าคนพื้นราบที่อาจมีเป็น 100 เป็น 1,000 ไร่ การขายที่ทำให้ที่ดินตกเป็นของเจ้าสัวนายทุนมากขึ้น กลุ่มทุนมากว้านซื้อที่ รวมทั้งพวกนอมินี เกิดชุมชนเมือง มีเขตพาณิชย์อุตสาหกรรมที่ขาดความสมดุลในธรรมชาติมากขึ้น (5) คนบนดอยโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินได้น้อยกว่าคนพื้นราบ นโยบายเปลี่ยนการเกษตรเชิงเดี่ยวของรัฐอาจทำให้คนบนดอยปรับตัวไม่ทัน
มุมกลับมองย้อนคิดในเรื่องสมดุลธรรมชาติว่า ใครปล่อยมลพิษมากกว่ากัน คนชนบททำไร่ทำนาเพียงปีละครั้งถึง 2 ครั้ง นโยบายป่าไม้ที่คุมเข้มคนบนดอยก็เพียงแค่ทำสวนทำไร่ แต่ก่อนไม่มีสารพิษ ทำให้ปัจจุบันการทำมาหากินยากลำบากขึ้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนรัฐไม่มองเฉพาะมุมแคบ ต้องมองเชิงบูรณาการ ภาครัฐต้องแก้ไขปัญหาคนบนดอยรวมทั้งคนพื้นราบโดยเฉพาะเขตเมืองแบบจริงจังและจริงใจ ถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งบนดอยและคนพื้นราบ เพราะมนุษย์นี่แหละคือผู้ทำลาย นี่คือสาเหตุภาวะโลกร้อน เกิดภาวะเรือนกระจก ข้อมูลผลการวิเคราะห์โลกร้อนส่วนใหญ่ คือจากคนเมือง เช่น เผาขยะเป็นพันๆ ตันต่อวัน อุตสาหกรรม ควันรถ มีตึกไม่มีต้นไม้ เลิกโทษคนอยู่ป่าอยู่ดอย เขาอยู่คู่กับป่าที่อยู่เขาคือดอยที่ทำกินก็ทำเท่าที่ป่าไม้จัดสรรให้เพียงพอแก่การเกษตรในการดำรงชีพเลี้ยงครอบครัว การตัดต้นไม้และถางป่าเป็นแค่สาเหตุหนึ่งเท่านั้น ความเจริญของบ้านเมืองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อากาศโลกร้อนขึ้น ในเมืองกับชนบทที่ใดต้นไม้เยอะกว่ากัน อย่าโทษคนดอย ชาวเขา ทุกครั้งที่โลกร้อน ภัยแล้ง น้ำท่วม จะมีวลีวาทกรรมด้อยค่าโทษคนบนเขาบนดอยก่อนเสมอ อย่าลืมว่าที่ทุ่งนาผืนใหญ่ที่โล่ง ไม่มีต้นไม้ใหญ่แล้วจะเอาโอโซนมาจากที่ใด เราไม่โทษธรรมชาติ โทษฝนฟ้าอากาศร้อน โลกร้อนก็มีหลายสาเหตุ แต่เราไม่เคยโทษตัวเองเลย ว่าสาเหตุที่ทำให้โลกร้อนโลกเปลี่ยน ก็คือตัวมนุษย์นั่นเอง เป็นตัวทำลายต้นไม้และธรรมชาติ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ทำให้ต่างแก่งแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติเพื่อแลกกับสิ่งที่เรียกว่า "เงิน" ต่างคนต่างหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง ไม่มีการแบ่งปันช่วยเหลือเจอจุนกัน จนเกิดความมั่งมีที่เกินขอบเขตเป็น “ลัทธิบริโภคนิยม” (Consumerism) บ้าเงินทองของหรู เกิด “การบริโภคที่มากเกินความจำเป็น” (Hyper consumerism) มีผลต่อการใช้ทรัพยกรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย สิ้นเปลือง และส่งผลกระทบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ฉะนั้น ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน มีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน และต้องไม่มองโลกสวยเกิน และอย่ามัวแต่บ่นว่าโลกร้อน มิเช่นนั้นต่อไป “โอกาสที่สิ่งแวดล้อมที่สวยงามจะหายไปได้ในพริบตา”
ข้าวโพดตัวปัญหาทำลายป่าจริงไหม
คนดอยปลูกข้าวโพดมาก มีการบุกรุกป่าทำไร่เลื่อนลอย มีนายทุนต่างถิ่นมาเช่า มาลงทุนเสียมากกว่าที่ยืมแต่มือเกษตรกรพื้นที่ทำ เกิดป่าภูเขาหัวโล้น ส่วนใหญ่เกษตรบนดอยจึงเพื่อการอุตสาหกรรมแก่คนพื้นราบโดยมีกลุ่มนายทุนเป็นพ่อค้าคนกลาง โอกาสที่จะได้กำไรจากการเกษตรยาก มีต้นทุนทั้งค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าเก็บเกี่ยว ค่าโม่ พอขายก็ถูกหักค่าความชื้น ถูกกดราคา หรือไปซื้อข้าวโพดจากจีนหรือจากประเทศเพื่อนบ้านที่ราคาต่ำกว่าบ้านเรา ดังนั้น เกษตรกรไทยส่วนใหญ่แค่ได้มีโอกาสเพียงเงินวิ่งผ่านมือเท่านั้น คนชุบมือเปิบเสือนอนกินจะเป็น พ่อค้าคนกลาง นายทุนใหญ่ที่ผลิตยาปุ๋ยอาหารสัตว์ครบวงจร คนบนดอยจึงมีโอกาสทำมาหากินที่ยากยิ่ง จะทำรีสอร์ตท่องเที่ยวก็ไม่ได้รัฐไม่ส่งเสริม จะทำไร่ก็ว่าทำลายป่า เผาป่าเผาหญ้าเพื่อการเกษตรก็ไม่ได้ ลำบากไปหมด ภาครัฐควรให้โอกาสคนดอย มีผู้วิเคราะห์ว่า ข้าวโพดและยาฆ่าหญ้าตัวดีเลย ตั้งแต่ข้าวโพดเข้ามา ก็มีการใช้ยาฆ่าหญ้ามาก ป่าก็เริ่มหาย ไม่เหมือนทำไร่หมุนเวียน ยังไงป่าก็ยังอยู่เป็นว่า “เมื่อนายทุนเข้ามาป่าก็หาย” หรือ “ชาวบ้านกำลังฆ่าตัวเองโดยผ่านนายทุน” และเมื่อเกิดปัญหาพวกนายทุนก็ไม่เคยเหลียวแล รัฐต้องจำกัดพื้นที่ปลูกไร่ข้าวโพดลง อย่าให้บุคลากรของรัฐบางส่วนไม่ได้ผลประโยชน์จากการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดบนดอย เพราะไร่หมุนเวียนชาวบ้านเขาทำเพื่อการยังชีพ มิได้เป็นแบบเชิงพาณิชย์แบบปลูกข้าวโพด พอหมดฤดูเก็บเกี่ยวปลายปีตุลาคม ก็จะเริ่มทำอีกที่ต้นเดือนเมษายน การทำไร่แบบหมุนเวียนจะมีเวลาให้ป่าฟื้นตัวได้ในอีก 6-7 ปีโดยทำเวียนกันไป เพราะไม่มีการทำซ้ำที่เดิมการทำลายหน้าดินหมุนเวียนกันไปทุกปี แต่ไร่ข้าวโพดจะทำปลูกซ้ำและมีการใช้ปุ้ยเคมีใช้ยาฆ่าหญ้ายาฆ่าแมลงพืชสัตว์ตายหมด ที่ดินก็จะกลายเป็นเขาหัวโล้น อย่าแก้ที่ปลายเหตุควรมาแก้กันที่ต้นเหตุ ลองส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนจากไร่ข้าวโพดเป็นไร่หมุนเวียนดู ปลูกพืชผักสวนครัว แตงกวา มะเขือ มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ฯ หรืออะไรก็ได้ ทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนที่รัฐต้องมีการส่งเสริมการตลาดด้วยอาจดีกว่า เป้าหมายคือจะทำอย่างไร เพื่อสุดท้ายให้เกษตรกรได้มีความมั่งคั่ง หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีสภาพการดำรงชีพที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน ที่เป็นอาชีพที่ยั่งยืนและสามารถเลี้ยงคนในครอบครัวได้ เพราะคนดอยเขาไม่อยากปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กันสักเท่าใด ที่ชาวบ้านต้องปลูก แม้กำไรน้อยก็ยอม เพราะมีนายทุนไปส่งเสริมและรับซื้อถึงที่ต่างหาก เขามีที่มีนาให้ทำกินอยู่แล้ว ต้องส่งเสริมชาวบ้านทำกิน เพื่อการดำรงชีพที่ดีขึ้นที่จะส่งผลถึงลูกหลานของเขาได้มีโอกาสทางการศึกษาที่ดีขึ้นด้วย
พื้นที่ราบถูกบุกรุกแผ้วถางตัดต้นไม้และทำลายพื้นป่าจนราบไม่เหลือแม้แต่ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ให้พักหลบร้อน ทุกวันนี้คนพื้นราบเลยโหยหาป่าโหยหาต้นไม้หาอากาศที่บริสุทธิ์ แถมยังมาชี้หน้าคนบนดอยว่าเป็นตัวการของภาวะโลกร้อน ทำให้น้ำท่วม ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แต่คนพื้นราบกลับลืมมองตัวเองว่าได้ทำอะไรไว้กับป่าบ้าง คนพื้นราบต้องไม่มีอคติ ไม่เอาเปรียบคนดอย มีภาวะน้ำท่วมเกิดทุกปี งบแก้น้ำท่วมก็เป็นภาษีประชาชนที่แทนจะเอาไปพัฒนาอย่างอื่น เพื่อแก้วิกฤตน้ำท่วม แรกสุดควรมีการตรากฎหมายให้คนพื้นราบปลูกป่าเช่น ในที่นา ที่ว่างด้วยอย่างน้อยสัก 40% ของพื้นที่ เป็นต้น ใครที่เกิดมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าก็พูดได้ แต่กับชาวบ้านคนที่แย่ๆ ทั้งสภาพเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่เขาคงพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะลำพังปากท้องตัวเองก็ไม่รอด แล้วจะมีเวลามาเรียกร้องต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดีของตนเองคงยาก อย่างนี้ภาครัฐต้องเข้ามาจัดการดูแล ไม่ว่าการจัดสรรที่ทำกิน การให้ทุน การส่งเสริมอาชีพ เป็นต้น แต่กับนายทุนรัฐให้ทำได้หมด
รัฐบาลควรเพิกถอนเขตป่าสงวนฯ และออกโฉนดให้ผู้ครอบครองที่ดิน
การแก้ปัญหาสิทธิ์ที่อยู่อาศัยและที่ทำกินในพื้นที่ชาวบ้าน กรณีที่เป็นพื้นที่ป่า หรือป่าสงวน หรือเขตพื้นที่ของรัฐอื่นยังมีปัญหามาก เนื่องจากมีกลุ่มทุนเข้ามากว้านซื้อแสวงประโยชน์จากรัฐในนโยบายนี้ในรูปแบบของนอมินี หรือการถือครองที่ดินแทน ไม่เว้นแม้ที่ดินบนป่าเขา ทางออกที่ผ่านมาคือการประกาศเป็นเขต ส.ป.ก. และเมื่อต้นปี 2567 นี้ก็คือการออกเอกสาร “โฉนดเพื่อการเกษตร” โดยการเปลี่ยนจากเดิม ส.ป.ก.4-01 เป็นเอกสารใหม่ที่สามารถนำมาเป็นทุนกับธนาคารได้ กล่าวคือ เพิ่มมูลค่าสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ เป็นแหล่งทุน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ที่ยั่งยืน สามารถเปลี่ยนมือไปเกษตรกรอื่นได้ กู้ธนาคารได้ แปลงทรัพย์สินเป็นทุนสร้างรายได้ เพิ่มวงเงินสินเชื่อ การเข้าถึงแหล่งทุนใหม่ สามารถเป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่สามารถค้ำประกันตัวบุคคลได้
แต่ทางออกที่สำคัญกว่าก็คือ รัฐบาลควรออก พ.ร.ฎ. เพิกถอนเขตป่าสงวนฯ กันเขตออกจากพื้นที่ดังกล่าวแล้วให้ มท. ดำเนินการออกโฉนดตามกฎหมายที่ดิน ด้วยเหตุสภาพพื้นที่ปัจจุบันไม่ใช่ป่าแล้ว และหรือเป็นป่าเสื่อมโทรม เขตที่อยู่อาศัยจากสภาพหมู่บ้านดิมได้พัฒนาจนเป็นชุมชนที่ขยายขึ้น จนเป็นเมืองแล้ว และในเขตที่ดินทำกินจากที่ดินทำเกษตรยังชีพก็เป็นการทำเกษตรเชิงพาณิชย์ เชิงอุตสาหกรรมมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ราษฎรใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ตามสิทธิโดยชอบ เป็นประเด็นแห่งการท้าทายรัฐบาลเพื่อให้สังคมอยู่รอดได้ในวิถียุคแห่งการเปลี่ยนแปลง (Digital Disruption) เช่นนี้