คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า การโต้วาทีของตัวแทนทั้งพรรคเดโมแครต และ พรรครีพับลิกัน ในการชูธงแสดงวิสัยทัศน์ที่จะลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งถือเป็นประเพณีที่เคยกระทำติดต่อกันเรื่อยๆมา แต่ขณะนี้กลับไม่เป็นเหมือนดั่งก่อน เนื่องจากทันทีที่ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” เอ่ยปากตอบรับข้อเสนอของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”

โดยข้อเสนอที่มีต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อวันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2024 นี้ก็คือ ประธานาธิบดีไบเดน เสนอให้มีการดีเบทแค่เพียงสองครั้งๆละสองชั่วโมงในวันที่ 27 มิถุนายน 2024 และวันที่ 10 กันยายน 2024 นี้นั่นเอง!!!

แต่ต่อมาอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กลับพลิกลิ้นออกมาเสนอให้มีการดีเบทเพิ่มเติมอีกสองครั้ง โดยอ้างว่า ต้องการที่จะให้ชาวลาตินและคนผิวสีได้เข้าถึงการโต้ฝีปากแสดงฝีมือในวงกว้าง แต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่เล่นด้วยตอบปฏิเสธโดยอธิบายว่า ไม่ต้องการจะเข้าไปร่วมเล่นเกมที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ชอบแหกกฎ และไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจจะถอนตัวในวินาทีสุดท้าย หรือไม่ยอมออกมาปรากฏตัวเลย

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทีมงานของประธานาธิบดีไบเดนยังออกมากล่าวเสริมต่อไปว่า “อันที่จริงประธานาธิบดีทรัมป์ได้เขียนโพสต์ลงในโลกโซเชียลชื่อ “Truth Social”ที่เขาเป็นเจ้าของหลายๆครั้งซ้ำๆซากๆว่า ตนเองต้องการที่จะประลองฝีปากดีเบทกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ไหนและเวลาใดก็ได้ ไม่มีปัญหา!!!

ส่วนการดีเบทครั้งแรกจะจัดให้มีขึ้นในสตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็น ณ เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย โดยซีเอ็นเอ็นตั้งเงื่อนไขว่า ไม่อนุญาติให้คนทั่วไปเข้าร่วมรับฟังในสตูดิโอ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำหนดเอาไว้

สำหรับการดีเบทที่จะมีเพียงแค่สองครั้ง ก็นับได้ว่า เป็นการแหกกฎระเบียบประเพณีที่เคยมีในอดีตไปอย่างสิ้นเชิง

ที่ผ่านมาการโต้วาทีสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1960 ซึ่งครั้งนั้นเป็นการโต้วาทีประชันฝีปากกันระหว่าง “ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี” กับ “รองประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน”

โดยการโต้วาทีครั้งนั้นปรากฏผลออกมาว่าประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี ที่ดูสดกว่า ดูหนุ่มและกระฉับบกระเฉงกว่า  และถึงแม้ว่าริชาร์ด นิกสัน จะมีคารมคมคายที่เฉียบแหลมกว่าก็ตาม แต่ในด้านภาพลักษณ์ที่ปรากฏในจอโทรทัศน์ ทำให้เขาต้องเสียเปรียบไปหลายขุม

การโต้วาทีผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างสูง เนื่องจากผู้ชมสามารถพินิจพิเคราะห์และสามารถพิจารณาทักษะ และไหวพริบของคู่ดีเบทว่า สามารถจะเอาตัวรอดขณะที่กำลังถูกกดดันจากคู่ต่อสู้ได้ดีมากน้อยเพียงใด

ที่ผ่านมาเมื่อปีค.ศ. 1980 ครั้งที่ “ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์” ปฏิเสธที่จะโต้วาทีกับ “ผู้ว่าฯโรนัลด์ เรแกน” และกับ “จอห์น แอนเดอร์สัน” นักการเมืองแห่งพรรคอิสระ ทำให้ครั้งครานั้นประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ต้องพลาดโอกาสงาม จนมีผลทำให้เขาพ่ายแพ้ต่อ “ผู้ว่าฯโรนัลด์ เรแกน”อย่างยับเยิน เนื่องจากผู้ว่าฯโรนัลด์ เรแกน เป็นนักโต้วาทีที่มีพรสวรรค์ แถมยังเคยเป็นดาราภาพยนต์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย

สำหรับการแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปีค.ศ. 2016 ก็มีการดีเบตระหว่าง “ฮิลลารี คลินตัน” กับ “โดนัลด์ ทรัมป์” สามครั้งสามคราด้วยกัน ซึ่งถึงแม้ว่าฮิลลารี คลินตัน จะเอาชนะการดิเบททั้งสามครั้งก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าเธอกลับต้องพบกับความพ่ายแพ้การเลือกตั้งไปอย่างเข็มขัดสั้นคาดไม่ถึง!!!

สำหรับการดีเบตที่มีขึ้นระหว่างรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปีค.ศ. 2020 ปรากฏว่า ครั้งแรกรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ 48% ต่อ 41% และระหว่างการดีเบตปรากฏว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์พยายามพูดแทรกขัดจังหวะต่อ รองประธานาธิบดีโจ ไบเดนมากกว่า 100 ครั้งเลยทีเดียว (ข้อมูลจากผลการหยั่งเสียงของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส)

และจากข้อมูลผลของการหยั่งเสียงจากสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นปรากฏออกมาว่าการโต้วาทีครั้งที่สอง โจ ไบเดน ชนะด้วยคะแนน 53% ต่อ 39% โดยมีผู้ชมมากถึง 63 ล้านคน

สำหรับการแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯปีค.ศ. 2024 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ดูเหมือนว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพียรพยายามออกมาป่าวประกาศเรียกร้องอยู่ตลอดเวลาว่า เขาต้องการที่จะประชันฝีปากโต้วาทีกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน

แต่ก็ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน คงจะเข็ดขยาด จึงได้เอ่ยปากตั้งเงื่อนไขว่า “หากมีการโต้วาทีกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อีก ห้ามมิให้มีการขัดจังหวะ และไม่ขอให้จัดการโต้วาทีผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง Fox News เนื่องจากเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า การโต้วาทีที่ผ่านมาผู้ดำเนินการอภิปรายเอนเอียงไปทางฝ่ายอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อย่างเห็นได้ชัดๆ

และยังมีเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ น่าแปลกที่ถึงแม้ว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะโดนดำเนินคดีอาญา 4 คดีมากถึง 91 ข้อหาก็ตาม แต่กลับปรากฏว่า แทนที่จะทำให้คะแนนนิยมของเขาจะลดน้อยถอยลงไป กลับได้เพิ่มขึ้นจนแซงขึ้นหน้า จนมีผลทำให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เกิดการวิตกกังวลอย่างหนัก (ข้อมูลจากสำนักหยั่งเสียง Marist/NPR/PBS ระหว่างวันที่ 22-25 เมษายน 2024)

และจากผลของการหยั่งเสียงหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ที่จัดทำร่วมกับวิทยาลัยซีรา เมื่อเร็วๆนี้เปิดเผยออกมาว่า ความนิยมของคนอเมริกันในห้ารัฐที่เคยเป็นตัวชี้ขาดการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อสี่ปีก่อน อันได้แก่ รัฐมิชิแกน รัฐวิสคอนซิน จอร์เจีย เนวาดา และ รัฐแอริโซนา ล้วนแล้วแต่หันไปนิยมชมชอบต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แทบทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญๆที่มีส่วนทำให้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลดฮวบลงในขณะนี้มาจาก การที่สหรัฐฯเข้าไปสนับสนุนการทำสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มนักรบฮามาส ที่มีผลทำให้นักศึกษาทั่วประเทศสหรัฐฯต่างออกมาให้การสนับสนุนปาเลสไสตน์  ซึ่งมีผลทำให้เยาวชนและชนผิวสีที่เคยเป็นฐานเสียงให้กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน หันไปนิยมชมชอบอดีตประธานาธิบดีทรัมป์!!!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นดูเหมือนว่าปัจจัยที่ทำให้ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”ตัดสินใจต้องการที่จะออกมาประชันฝีปากโต้วาทีกับ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ก็คือ เขาต้องการแสดงศักยภาพให้คนอเมริกันได้เห็นเพื่อแก้ปัญหาคลางแคลงใจในโหมดที่ว่า แม้เขาจะมีอายุ 81 ปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความสามารถประชันฝีปากได้ติดต่อกันถึงสองชั่วโมง ฉะนั้นอายุอานามมิได้เป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศในอีกสี่ปีข้างหน้า และหากเขาเกิดพ่ายแพ้การดีเบท เขาก็ยังจะมีเวลาเพียงพอที่จะเรียกคะแนนนิยมให้พลิกฟื้นกลับคืนมาได้ในอีกสี่เดือนข้างหน้านี้ละครับ