นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วันนี้ (23 พ.ค.)ที่ประชุมบอร์ดได้รับทราบ เรื่องหลักการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) หรือ ไฮสปีดเทรน 3 สนามบิน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ,สถานการณ์สงครามรัสเซีย–ยูเครน และวิกฤตการณ์ของระบบสถาบันการเงิน โดยการรถไฟรายงานผลเจรจากับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือกลุ่มซีพี ซึ่งเป็นคู่สัญญาในโครงการดังกล่าว เพื่อหาแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ถือเป็นกำหนดสิ้นสุดที่เอกชนได้รับการขยายเวลาจากบีโอไอ ครั้งที่ 3 ดังนั้นหากไม่หาทางออกเพื่อแก้ปัญหาจะส่งผลกระทบต่อโครงการ ทั้งนี้หลักการที่การรถไฟนำเสนอมีเป้าหมายโดยภาครัฐต้องไม่เสียผลประโยชน์เกินกรอบสัญญา ส่วนภาคเอกชนต้องไม่ได้รับผลประโยชน์เกินควร 

สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนโครงการนี้จากการหารือกับกลุ่มซีพี ได้ข้อสรุปร่วมกัน แบ่งเป็นประเด็นการรับสิทธิบริหารแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เอกชนขอแบ่งจ่ายค่าบริหารสิทธิเป็น 7 งวด มูลค่ารวม 10,640 ล้านบาท โดยจะเริ่มจ่ายงวดแรกในปี 2567 ส่วนประเด็นการร่วมลงทุน เนื่องจากเอกชนกู้เงินไม่ได้ เพราะผลกระทบจากโควิด 19 ,ปัญหาสงคราม และอัตราดอกเบี้ย ทำให้มีเงื่อนไขร่วมกันในการเร่งให้ภาครัฐจ่ายค่าที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการ วงเงิน 119,000 ล้านบาท โดยให้จ่ายก่อนกำหนดในงวดที่ 18 นับจากวันที่ออกหนังสืออนุญาติเข้าพื้นที่ (NTP) จากเดิมภาครัฐต้องจ่ายหลังเอกชนก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ

"จากการเจรจาให้ภาครัฐเร่งจ่ายค่าร่วมลงทุน 1.19 แสนล้านบาท และการแบ่งจ่ายค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิงก์ เพื่อไม่ให้รัฐรับความเสี่ยงและการันตีได้ว่าเอกชนรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐไปแล้วจะยังคงดำเนินการก่อสร้างโครงการต่อเนื่อง จึงมีข้อตกลงร่วมกันให้เอกชนจัดหาวางหนังสือค้ำประกัน ซึ่งเป็นหลักประกันทางการเงิน หรือแบงก์การันตี เพิ่มขึ้นในกรอบวงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นค่าที่รัฐร่วมลงทุน และค่าบริหารสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิงก์"

นอกจากนี้ในการแก้ไขสัญญา ยังตัดเงื่อนไขเอกชนต้องรับบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) ออกไป เพราะสัญญาก่อนหน้านี้กำหนดว่าการรถไฟจะออกหนังสือ NTP ได้ต่อเมื่อทางเอกชนคู่สัญญาได้รับบัตรส่งเสริม BOI แต่ในขณะนี้เห็นว่าเอกชนไม่สามารถออกบัตรส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวได้แล้ว หากตัดเงื่อนไขนี้ออกไปก็จะทำให้การรถไฟสามารถออกหนังสือ NTP และเอกชนเข้าพื้นที่เริ่มก่อสร้างได้ โดยภายหลังบอร์ดการรถไฟรับทราบในหลักการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนในครั้งนี้ ขั้นตอนต่อไปจะเสนอขอพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) และอัยการสูงสุดในการแก้ไขสัญญา โดยคาดว่าขั้นตอนทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปีนี้

"การรถไฟสามารถออกหนังสือ NTP เพื่อให้เอกชนเริ่มงานก่อสร้างได้ในปีนี้ โดยเงื่อนไขวางแบงก์การันตีที่กำหนดไว้นั้น เอกชนจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 270 วัน นับจากวันที่ลงนามแก้ไขสัญญา และเมื่อมีการแก้ไขสัญญาฉบับใหม่การรถไฟมีความพร้อมส่งมอบพื้นที่ครบ 100% ตลอดเส้นทาง จึงเตรียมเร่งรัดให้เอกชนเริ่มก่อสร้างส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการอื่น อาทิ โครงสร้างร่วมรถไฟไทยจีน ช่วงบางซื่อ – ดอนเมือง วงเงินส่วนแรกราว 4 พันล้านบาท ซึ่งงานส่วนนี้เอกชนยังยืนยันจะรับภาระในการก่อสร้าง รวมไปถึงเร่งแก้ปัญหาพื้นที่ร่วมในโครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกส่วนของพื้นที่ใต้อาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภา"