"ทนายแจม" กระตุกพ่อแม่ "เด็กเชื่อมจิต" เอาลูกมาปรากฎตัวสาธารณะแบบนี้ สังคมมีสิทธิตั้งคำถาม ชี้ มีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่าง "ความเป็นส่วนตัว-ความปลอดภัย" แนะจะปกป้องลูก ต้องตอบสังคมให้ได้ สิ่งที่ทำไปจะเกิดปัญหาในอนาคตหรือไม่ มองสื่อทำหน้าที่ปกติ บอกดีด้วยซ้ำหากนำเสนอหลายมุม
วันที่ 23 พ.ค.67 ที่รัฐสภา น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์เรื่องน้องไนซ์ เชื่อมจิต ว่าในมุมมองของความเป็นเด็กและเยาวชน ตนติดตามเรื่องนี้มาสักพักแล้ว การที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตมาในสังคมจะต้องช่วยกันหลายภาคส่วน อะไรที่ดูผิดปกติในการเติบโตของเด็ก ทั้งสังคมหรือภาครัฐ ไม่สามารถที่จะปฏิเสธในการเข้ามาติดตามหรือตรวจสอบได้ ตนต้องพูดตามตรงว่า โดยธรรมชาติของเด็กวัยนี้ มีความฉลาดอยู่แล้ว คนมีลูกจะรู้ดีว่าเวลาพูดหรือบอกอะไร เด็กจะรับรู้ได้เร็วมาก ส่วนการเป็นเทพจริงหรือไม่จริง ก็จะเป็นข้อเท็จจริงอีกชุดหนึ่ง แต่ตนคิดว่าหากมีเด็กคนหนึ่งเติบโตผิดปกติ สังคมจะต้องเข้าไปติดตามตรวจสอบว่าเด็กเติบโตอย่างปลอดภัยหรือไม่ มีสุขภาวะทางจิตและทางกายที่เป็นไปตามขั้นตอนปกติหรือไม่
เมื่อถามว่าหน่วยงานที่จะตรวจสอบ เวลาเข้าไปก็จะถูกพ่อแม่ของเด็กปฏิเสธและขู่ฟ้องร้อง นางสาวศศินันท์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของเด็ก ในมุมมองของภาครัฐมองว่าเด็กทุกคนคือบุคคลากรของสังคมที่จะเติบโตมาในอนาคต หากเติบโตอย่างไม่ถูกต้องจะเป็นภัยสังคม จึงไม่สามารถปฏิเสธการดูแลได้ แต่พ่อแม่มักจะคิดถึงความเป็นส่วนตัวของลูก
"แต่แจมเอง ก็ตั้งคำถามเหมือนกันว่าความเป็นส่วนตัวของลูก แต่สิ่งที่พ่อแม่ทำมันเป็นการละเมิดอยู่แล้วหรือไม่ จากที่มีการอัดคลิปและเผยแพร่ อย่างแจมเองมีลูก เวลาถ่ายรูป เราก็รู้ว่าเราละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูกไปแล้วเหมือนกัน ซึ่งหากไม่เกิดอันตรายกับใคร ก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นผิดกฎหมาย แต่ถ้ามีการปรากฏตัว เอาเด็กมาอยู่ในที่สาธารณะ แล้วอาจจะเกิดความเชื่อขึ้นมา หรือทำอะไรให้สังคมเข้าใจผิด แจมคิดว่าสังคมก็สามารถที่จะตั้งคำถามแบบนี้ได้" นางสาวศศินันท์ กล่าว
น.ส.ศศินันท์ กล่าวต่อว่า หากพ่อแม่จะปกป้องลูก ก็ต้องอยู่ในมุมที่ต้องตอบคำถามได้ด้วยเหมือนกัน ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของประเทศไทย ตนเจอเรื่องความเชื่อมาตลอด เพราะสังคมไทยอยู่กับความเชื่อมาโดยตลอด แต่ต้องชั่งน้ำหนักกันระหว่างความจริงและความเชื่อ ว่าอะไรที่เป็นไปได้ เรื่องนี้พูดยาก
เมื่อถามว่าจะกลายเป็นพ่อแม่รังแกฉันหรือไม่ นางสาวศศินันท์ กล่าวว่า พ่อแม่แต่ละคนคาดหวังกับลูกคนละแบบอยู่แล้ว เราตัดสินด้วยเหตุการณ์เดียวไม่ได้ อาจจะต้องดูบริบทอื่นด้วย
เมื่อถามว่ามองเรื่องการที่พ่อแม่น้องไนซ์ ไล่ฟ้องสื่ออย่างไร นางสาวศศินันท์ หัวเราะ พร้อมกล่าวว่าประเทศไทยเป็นระบบกล่าวหาอยู่แล้ว เราจะฟ้องร้องใครก็สามารถทำได้อยู่แล้ว แต่ตนมองว่า สื่อมวลชนก็ทำหน้าที่ตามปกติอยู่แล้ว คือการเอาข้อเท็จจริงมาให้สังคมรับทราบ ส่วนสังคมจะเข้าใจไปในทางไหน เราไม่สามารถตัดสินได้ ตนมองว่าการนำเสนอข่าวหลายมุมเป็นผลดีต่อประชาชนด้วยซ้ำ แต่ตนกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของเด็กว่าหากมีการนำเสนอมากไปหรือเปิดหน้า เมื่อเด็กเติบโตมาแล้วเห็นอาจจะเป็นผลเสียในอนาคต