“ภูมิธรรม” ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรรม ปม 40 สว. ร้อง“ศาลรัฐธรรมนูญ” สอย“เศรษฐา-พิชิต” มั่นใจสิ่งที่ทำถูกต้อง ลั่นอย่ามองไกลถึงหยุดปฏิบัติหน้าที่ “สุทิน”เผยไม่กังวล 40 สว. ยื่นเอาผิด”นายกฯ” แนะ“พิชิต” อย่าชิงลาออก ให้อยู่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ตัวเอง  "พิชิต"ยกมือท่วมหัว ไม่เคยผิดคดีอาญา ยอมรับเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ เชื่อมีวงจรอุบาทว์ทำลายรัฐบาล ก่อนตัดสินใจลาออกจากรัฐมนตรี ขณะที่ “เลขาฯกฤษฎีกา” ชี้ปม“พิชิต”ถามแค่ไหนตอบแค่นั้น

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 พ.ค.67 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณี 40 สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ว่า ยังไม่ได้พูดคุยกัน เพราะว่าตนเพิ่งเดินทางกลับมาจากภารกิจที่ประเทศฝรั่งเศส ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ ให้ศาลพิจารณาเพราะรัฐบาลก็มั่นใจอยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำไปเหมาะสมถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย


ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการมองถึงเรื่องจริยธรรมของบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรี นายภูมิธรรม ถามกลับว่า จริยธรรมยังไง มีปัญหาตรงไหน ก็ไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไรก็ตามกระบวนการหรือเงื่อนไขคุณสมบัติต่างๆ ก็ว่าตามนั้นและทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้นอยู่แล้ว ตนว่าเอาเรื่องนอก คุณสมบัติมาพูดมันก็ยากที่จะพิจารณา เมื่อถามว่า มีการมองไปถึงว่านายเศรษฐาและนายพิชิตจะถูกศาลฯ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปมองไกลขนาดนั้นทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการ เพราะทุกอย่างที่รัฐบาลทำไปเพราะมีความเห็นจากสำนักงานกฤษฎีกา และเมื่อเขาไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งจะขั้นตอนแรกเท่านั้นก็ต้องรอให้ท่านพิจารณาอีกที


เมื่อถามว่า ยังมี สว.บางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องนี้ เพราะมองว่า สว. หมดวาระแล้วไม่ควร จะไปสร้างปัญหา นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็นี่แหละ ตนว่าเรามีความเห็นที่แตกต่างกัน ที่มองเรื่องนายกฯ ก็เป็นเรื่องหนึ่ง มองเรื่อง สว.ก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการที่ควรจะเป็น ถ้าเราเคารพกฎเกณฑ์กติกา ไม่ไปนอกกฎเกณฑ์กติกาทุกอย่างก็เดินไปได้ด้วยดี ตอนนี้ประเทศก็จะเดินไปข้างหน้า และภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ก็กำลังรุนแรงมากเหลือเกิน ถ้ายังมาติดกับประเด็นต่างๆ ที่ไม่คืบหน้าไป และไม่ช่วยกันแก้ไขปัญหา ประเทศก็ต้องมีสิ่งที่ต้องเผชิญอย่างหนัก เพราะอยากให้ทุกคนกลับเข้ามาช่วยกันใช้สติปัญญาว่าประเทศจะรอดและจะไปได้ด้วยดีอย่างไร และจะมาช่วยดูแลประชาชนให้มีสภาพที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร ให้ธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลางและแม้ไปถึงขนาดใหญ่ เดินหน้าไปข้างหน้าดีกว่า ที่จะมาสนใจปัญหาจุกจิก


ด้าน นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้คนอื่นคิดอย่างไรตนไม่ทราบ แต่ตนไม่กังวล เพราะการจะตั้งคนเป็นรัฐมนตรีมีขั้นตอนพิจารณาคุณสมบัติดีอยู่ โดยเฉพาะสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพราะก่อนทำรายชื่อทูลเกล้าฯ ทุกคนต้องกรอกประวัติ มีขั้นตอนตรวจสอบประวัตินานมาก ซึ่งตนเชื่อมั่นในขั้นตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร ก็สุดจะคาดเดา แต่เมื่อศาลวินิจฉัยแล้ว เราก็ต้องยอมรับ แต่ย้ำว่า ตนมั่นใจในกระบวนการและขั้นตอนการตรวจคุณสมบัติ


เมื่อถามถึงกรณีมีบางฝ่ายเสนอให้นายพิชิตลาออก เพื่อที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจะได้ไม่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้ และไม่ลามไปถึงตัวนายกรัฐมนตรี นายสุทิน กล่าวว่า บางคนอาจจะคิดวิธีนั้น แต่ตนคิดว่าวิธีหนึ่งคืออยู่เพื่อพิสูจน์ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานก็ได้ ดีกว่าการชิงลาออก เพราะก่อนจะตั้งเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่ตัวนายพิชิตเป็นคนตัดสินใจเองคนเดียว และนายกฯ ไม่ได้ตัดสินใจโดยลำพังแต่มีคณะทำงานและองค์กรที่ได้รับการยอมรับพิจารณา เขาก็จะได้เรียนรู้ด้วย


ด้าน นายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า การที่ 40สว.ยื่นศาลฯ ตอกย้ำให้เห็นว่านายเศรษฐาไม่มีภาวะผู้นำของความเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างแท้จริง และเชื่อได้ว่านายเศรษฐาเอง ก็ไม่อยากจะแต่งตั้งนายพิชิต ให้เป็นรัฐมนตรี แต่ในเมื่อเจ้าของพรรคตัวจริง เขาบริหารจัดการโดยมอบตำแหน่งเพื่อตอบแทนคนที่ทำงานให้เขาหรือแม้แต่เป็นบำเหน็จความชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นายเศรษฐาก็จำเป็นจะต้องตั้งแต่งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรีอย่างเสียมิได้


นายเมฆินทร์ กล่าวว่า เมื่อมีปัญหาคลางแคลงจากสังคมก็เอากฤษฎีกามาเป็นเกราะกำบังเพื่อความชอบธรรมในการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งตนเห็นว่า คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีควรมีภาวะผู้นำและวุฒิภาวะมากกว่านี้ เนื่องจากการนำบุคคลใดๆ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้แต่งตั้งในตำแหน่งที่สำคัญๆ นั้น จะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ตามลำดับ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นภายหลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งแล้ว แต่นายเศรษฐากลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ตั้งแต่มีกระแสข่าวว่านายพิชิตจะได้รับการแต่งตั้ง จนกระทั่งเลยเถิดจนทำให้มี สว. ต้องมีการเข้าชื่อเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะฉะนั้นถ้านายเศรษฐาอยากแสดงภาวะผู้นำ เพื่อป้องกันข้อครหาแล้ว ก็ขอให้ดำเนินการเอานายพิชิตออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลตั้งแต่ตอนนี้ เพราะถ้าขืนดันทุรัง จนกระทั่ง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ทั้งนายเศรษฐา และนายพิชิต จะต้องพ้นจากตำแหน่งแล้ว สถานการณ์การเมือง ก็จะมีความวุ่นวายตามมา เพราะความเป็นนายกรัฐมนตรีอาจสิ้นสุดลง ส่งผลให้รัฐมนตรีอื่นๆ จะต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย


อย่างไรก็ตาม มองว่ากรณีนี้เจ้าของพรรคตัวจริง คงอยากจะให้บำเหน็จรางวัลนายพิชิต หลังจากที่ทำงานใกล้ชิดมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะกรณีถุงขนม 2 ล้าน อันอื้อฉาว โดยอยากจะแต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่มีการดำเนินการตั้งรัฐบาลใหม่ๆ แต่ในช่วงเวลานั้น มีกระแสต่อต้าน จึงทำให้ต้องพับความตั้งใจเอาไว้ จนกระทั่ง เมื่อถึงรอบที่จะต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี จึงได้มีการนำชื่อนายพิชิตมาหยั่งเสียงว่ามีกระแสต่อต้านอีกหรือไม่ ซึ่งในที่สุดการปรับคณะรัฐมนตรีรอบนี้ก็มีชื่อของนายพิชิตจริงๆ โดยฝ่ากระแสต่อต้านของหลายๆ ฝ่าย ซึ่งต่างจากในอดีตในยุครัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำ และรัฐบาลในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ว่าหากใครมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ หรือ ปรากฏพบข้อบกพร่องจนไม่อาจจะปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ไม่มีการเสนอชื่อบุคคลคนนั้น เป็นรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงภาวะผู้นำที่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว นอกจากนี้ เท่าที่ผมสังเกต จะเห็นได้ว่า เมื่อไรที่มีปัญหาทางการเมือง นายเศรษฐามักจะใช้วิธีเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อเป็นการหลบเลี่ยงกระแสสังคม เหมือนกับอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงท่านหนึ่ง ที่ทำจนเป็นสถิติของนายกฯ ไทยที่มีมาในประวัติศาสตร์


นายเมฆินทร์ กล่าวอีกว่า อยากแนะนำว่าหากต้องการมือกฎหมายที่สามารถเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดีแล้ว ตนเชื่อว่าในพรรคเพื่อไทยมีหลายคน ที่สามารถเป็นตัวเลือกในตำแหน่งนี้ได้ แต่อยากให้รีบดำเนินการก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยตามที่ทาง 40 สว. ได้เข้าชื่อยื่นเรื่องเอาไว้ เพราะหากคำวินิจฉัยของศาลฯ ไม่เป็นคุณต่อนายเศรษฐาและนายพิชิตแล้ว เชื่อว่ารัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ไม่มีเรื่องด่างพร้อยในรัฐบาลชุดนี้ อาจจะต้องเข้าทำนองที่ว่า ‘ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง’ และจะลามไปยังภาคส่วนอื่นๆทางการเมืองอีกด้วย


นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ 40 สว.ได้ยื่นคำร้องตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคนแรกที่ออกมาพูดเรื่องคุณสมบัติของนายพิชิต ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ซึ่งในรัฐธรรมนูญมาตรา 160 ระบุว่า คนที่จะเป็นรัฐมนตรีจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์  และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และนายกรัฐมนตรีก็ทราบข้อเท็จจริงและต้องรับผิดชอบเรื่องนี้  ดังนั้นนายกรัฐมนตรีก็ถือได้ว่ามีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงเหตุเพราะรู้ข้อเท็จจริงดีว่าคุณสมบัติของนายพิชิตขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ การที่อ้างว่าได้สอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วนั้น ความจริงก็ปรากฎชัดว่าไม่ได้สอบถามในประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและเรื่องจริยธรรม ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้สามัญสำนึกของนายกรัฐมนตรีในเบื้องแรกสำคัญที่สุด วิญญูชนพึงคิดได้ว่าการกระทำของคนที่จะเสนอเป็นรัฐมนตรีมีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่


นายราเมศ กล่าวว่า เมื่อ สว.ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยแล้ว ก็ต้องเคารพกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญที่มีดุลพินิจในการวินิจฉัยใครจะไม่สามารถก้าวล่วงได้ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากเรียกร้องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งคืออยากให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติของนายพิชิตและนายเศรษฐาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ที่ระบุไว้ชัดว่าเพื่อประโยชน์หรือไม่ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ หากเห็นว่ารัฐมนตรีมีคุณสมบัติขัดต่อ มาตรา 160 ต้องร่วมกันตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสสุจริตในบ้านเมือง


“นายพิชิตไม่ควรลาออก และต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อสู้ให้เห็นว่าการกระทำของท่านรัฐมนตรีที่ศาลฎีกาเห็นว่า ทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาล ยุติธรรมและจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือและความศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในอำนาจตุลาการ จึงเห็นสมควรลงโทษในสถานหนัก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป และให้จำคุกด้วย นายพิชิตก็ต้องสู้ในศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เห็นว่าทั้งหมดไม่เป็นความจริง และการกระทำทั้งหมดถุงขนม 2 ล้านนั้นเป็นการกระทำที่ซื่อสัตย์สุจริต อยู่บนหลักของจริยธรรม ผมไม่อยากให้นายพิชิตลาออก เป็นเพราะจะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะคณะรัฐมนตรี ในเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต เรื่องนี้บ้านเมืองได้ประโยชน์สูงสุดอีกด้วย” นายราเมศ กล่าว


ขณะที่ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงกระแสข่าวได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี อย่างมีอารมณ์ ว่า ตั้งแต่วันแรกที่ตนเข้ามาทำงานกับรัฐบาล แม้ตอนนั้นจะยังไม่ได้รับตำแหน่ง แต่เต็มใจทุ่มเททำงานให้นายเศรษฐามาอย่างเต็มที่ เมื่อตนถูกเสนอชื่อให้เป็นรัฐมนตรี ตามขั้นตอนได้ถูกตรวจสอบตามกฎหมายอยู่แล้ว โดยสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกับสำนักงานกฤษฎีกาได้ตรวจสอบจนสิ้นข้อสงสัยแล้ว ตนเองได้ขึ้นมาทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่กลับมีวงจรอุบาทว์ที่จ้องทำลายรัฐบาลนายเศรษฐา


ช่วงหนึ่งนายพิชิตได้ยกมือไหว้ พร้อมกล่าวว่า ตนขอสาบานในที่กลางแจ้งต่อหน้าพระสยามเทวาธิราชว่าตนไม่เคยทำผิด ไม่เคยต้องคดีอาญา ความผิดทางคดีความที่เกิดขึ้นเป็นคดีแพ่ง ซึ่งมีการตีความแล้วว่าไม่ใช่ความผิดอาญา และไม่ได้ทำผิดจริยธรรม ตนเป็นทนาย เป็นนักกฎหมาย รู้ข้อกฎหมายดี ถ้าผิดจริงคงไม่ฝืน ไม่ให้ตนเองเป็นตัวทำลายรัฐบาลเศรษฐา ที่ออกมาพูดวันนี้ ต้องการขอความเห็นใจ ให้นายเศรษฐาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีสมกับความตั้งใจที่อยากเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ เรื่องของตนเองไม่เกี่ยวข้องกับนายเศรษฐาเลย

 
“นายเศรษฐาไม่ได้ฝ่าฝืนข้อกฎหมายใดๆ ในการแต่งตั้งผม ผมเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายสมัย และขอเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรีเศรษฐา” นายพิชิต กล่าวและว่า ตนตั้งข้อสังเกตถึง 40 สว.ที่ลงชื่อ ที่ล้วนมีข้อพิรุธ ไม่แน่ใจได้อ่านเอกสารครบถ้วนหรือไม่ ก่อนที่จะลงชื่อ เชื่อว่าเป็นวงจรอุบาทว์ที่มาทำลายรัฐบาล ส่วนจะ