นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ 40 สว. ได้ร่วมกันเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 82 เพื่อส่งเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน และ ตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของนายพิชิต ชื่นบาน เนื่องจากขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ว่า กรณีนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า นายเศรษฐา ไม่มีภาวะผู้นำของความเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างแท้จริง และเชื่อได้ว่า นายเศรษฐา เอง ก็ไม่อยากจะแต่งตั้ง นายพิชิต ให้เป็นรัฐมนตรี แต่ในเมื่อเจ้าของพรรคฯ ตัวจริง เขาบริหารจัดการโดยมอบตำแหน่งเพื่อตอบแทนคนที่ทำงานให้เขาหรือแม้แต่เป็นบำเหน็จความชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นายเศรษฐา ก็จำเป็นจะต้องตั้งแต่งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรีอย่างเสียมิได้ และเมื่อมีปัญหาคลางแคลงจากสังคม ก็เอากฤษฎีกามาเป็นเกราะกำบังเพื่อความชอบธรรมในการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งตนเห็นว่า คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีควรมีภาวะผู้นำและวุฒิภาวะมากกว่านี้ เนื่องจาก การนำบุคคลใดๆ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้แต่งตั้งในตำแหน่งที่สำคัญๆ นั้น จะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ตามลำดับ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นภายหลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งแล้ว แต่นายเศรษฐา กลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ตั้งแต่มีกระแสข่าวว่า นายพิชิต จะได้รับการแต่งตั้ง จนกระทั่งเลยเถิดจนทำให้มี สว. ต้องมีการเข้าชื่อเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะฉะนั้น ถ้านายเศรษฐา อยากแสดงภาวะผู้นำ เพื่อป้องกันข้อครหาแล้ว ก็ขอให้ดำเนินการเอานายพิชิต ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลตั้งแต่ตอนนี้ เพราะถ้าขืนดันทุรัง จนกระทั่ง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ทั้งนายเศรษฐา และนายพิชิต จะต้องพ้นจากตำแหน่งแล้ว สถานการณ์การเมือง ก็จะมีความวุ่นวายตามมา เพราะความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ส่งผลให้รัฐมนตรีอื่นๆ จะต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย
“ผมมองว่า กรณีนี้เจ้าของพรรคตัวจริง คงอยากจะให้บำเหน็จรางวัลนายพิชิต หลังจากที่ทำงานใกล้ชิดมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะกรณีถุงขนม 2 ล้าน อันอื้อฉาว โดยอยากจะแต่งตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่มีการดำเนินการตั้งรัฐบาลใหม่ๆ แต่ในช่วงเวลานั้น มีกระแสต่อต้าน จึงทำให้ต้องพับความตั้งใจเอาไว้ จนกระทั่ง เมื่อถึงรอบที่จะต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี จึงได้มีการนำชื่อนายพิชิต มาหยั่งเสียงว่า มีกระแสต่อต้านอีกหรือไม่ ซึ่งในที่สุด การปรับคณะรัฐมนตรีรอบนี้ ก็มีชื่อของนายพิชิต จริงๆ โดยฝ่ากระแสต่อต้านของหลายๆ ฝ่าย ซึ่งต่างจากในอดีตในยุครัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำ และรัฐบาลในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ว่า หากใครมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ หรือ ปรากฏพบข้อบกพร่องจนไม่อาจจะปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ไม่มีการเสนอชื่อบุคคลคนนั้น เป็นรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงภาวะผู้นำที่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว นอกจากนี้ เท่าที่ผมสังเกต จะเห็นได้ว่า เมื่อไหร่ที่มีปัญหาทางการเมือง นายเศรษฐา มักจะใช้วิธีเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อเป็นการหลบเลี่ยงกระแสสังคม เหมือนกับอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงท่านหนึ่ง ที่ทำจนเป็นสถิติของนายกฯ ไทยที่มีมาในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ ผมจึงอยากแนะนำว่า หากต้องการมือกฎหมายที่สามารถเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ได้ดีแล้ว ผมเชื่อว่า ในพรรคเพื่อไทยก็มีหลายคน ที่สามารถเป็นตัวเลือกในตำแหน่งนี้ได้ แต่อยากให้รีบดำเนินการก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยตามที่ทาง 40 สว. ได้เข้าชื่อยื่นเรื่องเอาไว้ เพราะหากคำวินิจฉัยของศาลฯ ไม่เป็นคุณต่อนายเศรษฐาและนายพิชิตแล้ว เชื่อว่ารัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ไม่มีเรื่องด่างพร้อยในรัฐบาลชุดนี้ อาจจะต้องเข้าทำนองที่ว่า ‘ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง’ และจะลามไปยังภาคส่วนอื่นๆทางการเมืองอีกด้วย ” นายเมฆินทร์ กล่าว