หากเปรียบเทียบระหว่าง “การสร้างสรรค์” กับ “การทำลาย” สิ่งต่างๆ แล้ว ต้องบอกว่า การทำลายทำได้ง่ายมากกว่าการสร้างสรรค์เยอะ แถมยังใช้เวลาไม่นาน รวดเร็วกว่ากันอีกต่างหาก

เช่นเดียวกับ “ผืนป่า” ทั้งหลายในภูมิภาคต่างๆ ของโลกเรา กว่าจะได้เป็นผืนป่า เขียวชอุ่ม อุดมสมบูรณ์ในแต่ละผืนได้ ต้องใช้เวลาอย่างยาวนาน แตกต่างจากการทำลาย ที่ไม่ว่าจะมาจากน้ำมือของมนุษย์เราก็ดี หรือจากภัยธรรมชาติด้วยกันเองก็ดี ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ผืนป่าก็ถูกทำลายล้างอย่างน่าสะพรึงกันไปแล้ว

ด้วยประการฉะนี้ บรรดานักสิ่งแวดล้อมที่ทำหน้าที่ฟื้นฟูป่าทั้งหลาย จึงต้องใช้เครื่องมือ เครื่องไม้ อุปกรณ์เทคโนโลยีอันล้ำสมัย เข้ามาช่วยการปลูกป่า เพื่อฟื้นฟูผืนป่า ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

หนึ่งในเครื่องมือ เครื่องไม้ ที่ว่านั้นก็คือ “อากาศยานไร้คนขับ” หรือ “โดรน” นั่นเอง

โดยเมื่อกล่าวถึง “โดรน” แล้ว ก็ถูกยกย่องให้เป็น “อากาศยานแห่งยุค” ที่ยุคนี้ สมัยนี้ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการทหาร การสงคราม ในฐานะอาวุธร้ายเพื่อการโจมตี ซึ่งเป็นไปในทางเข่นฆ่าล้างผลาญชีวิตผู้คน และในด้านพลเรือน เพื่อการขนส่ง ลำเลียงทั้งคนและสิ่งของต่างๆ ในอันที่จะเป็นประโยชน์สร้างสรรค์ต่อมนุษยชาติเรากันโดยแท้

การนำโดรนมาใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ข้างต้นนั้นก็คือ การใช้โดรน ในปฏิบัติการหว่านเมล็ดพันธุ์ไม้ สำหรับการปลูกป่าในพื้นที่ที่เป็นผืนป่าดั้งเดิมกันนั่นเอง

ยกตัวอย่าง เช่น “ป่าแอมะซอน” ผืนป่าดิบชื้นเขตร้อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลถึง 5.5 ล้านตารางกิโลเมตร มีดินแดนติดต่อกันกินพื้นที่ใน 9 ประเทศของทวีปอเมริกาใต้ หรือลาตินอเมริกา ได้แก่ บราซิล เปรู โคลอมเบีย เวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนซ์เกียนา โดยผืนป่าส่วนใหญ่อยู่ในดินแดนของบราซิล เพราะมีเนื้อที่มากถึงร้อยละ 60 ของผืนป่าทั้งหมด

อย่างไรก็ดี ผืนป่าแห่งนี้ ณ ปัจจุบัน ถูกทำลายล้างไปมาก ทั้งจากน้ำมือมนุษย์ที่เข้าไปตัดไม้ทำลายป่า เพื่อหวังผลประโยชน์เป็นที่ดิน และต้นไม้ที่ถูกตัด ซึ่งล้วนมีมูลค่าราคาในการทำเงินเป็นแรงจูงใจทำลายผืนป่าอย่างมหาศาลในแต่ละปี นอกจากนี้ ผืนป่าที่ถูกทำลายไปก็มาจากภัยธรรมชาติที่คุกคาม นั่นคือ การเกิดปรากฏการณ์ “ไฟป่า” ขึ้น ที่กลายเป็นพิบัติภัยทำลายล้างผืนป่าในแต่ละปีเป็นจำนวนมากเช่นกัน

นอกจากนี้ ในบางประเทศ ก็มีปัญหาความรุนแรงจากกลุ่มติดอาวุธภายใน เช่น โคลอมเบีย ที่มีกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับอุดมการณ์ทางการเมืองและแก๊งยาเสพติด ก็ได้สร้างผลพวงให้เกิดการทำลายล้างผืนป่าแอมะซอน จากการที่ผู้คนต้องอพยพจากที่อยู่เดิม ไปหักร้างถางพงผืนป่าเพื่อหาพื้นที่อยู่ใหม่ และที่ทำกินใหม่ หลีกหนีความรุนแรงข้างต้น

ตามการประเมินของ “เครือข่ายข้อมูลข่าวสารด้านสังคม สิ่งแวดล้อมและระบบพิกัดโลก” หรือ “อาร์เอไอเอสจี” ระบุว่า เฉพาะผืนป่าแอมะซอนที่ถูกทำลายไปทั้งจากน้ำมือมนุษย์และภัยธรรมชาติ ในระหว่างช่วงปี 2000 – 2008 (พ.ศ. 2543 - 2551) ก็คิดเป็นพื้นที่ที่ใหญ่กว่า “ประเทศสเปน” เสียอีก

โดยป่าแอมะซอน กว่าที่มนุษย์เราจะได้ผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์เขียวชอุ่มด้วยพรรณไม้ต่างๆเช่นนี้ได้ ก็ต้องใช้เวลานานกว่า 50 ล้านปีตามการประเมินของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ แต่ปรากฏว่า ความเขียวชอุ่มของผืนป่าหลายจุด ก็มาถูกทำลายไปทั้งด้วยฝีมือมนุษย์เราและธรรมชาติเอง เพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจเท่านั้น ดังนั้น การฟื้นฟูผืนป่าจึงมิใช่เรื่องง่ายๆ กอปรผืนป่าในหลายจุดๆ ของแอมะซอน ก็ยังเป็นพื้นที่ห่างไกล การเดินทางเข้าถึงก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงต้องใช้ “โดรน” เป็นอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องไม้ ตอบโจทย์ในปฏิบัติการฟื้นฟูผืนป่าข้างต้น

ทั้งนี้ โดรนที่นำมาใช้ในภารกิจดังกล่าว ก็คือ “โดรนหว่านเมล็ดพันธุ์” ที่บรรดาเกษตรกรสมัยใหม่ทั้งหลาย ใช้ในฟาร์มเกษตรของพวกเขานั่นเอง

อุปกรณ์สำหรับการบังคับควบคุมการบินของโดรน (Photo : AFP)

จากการเปิดเผยของ “มอร์โฟ” บริษัทด้านเทคโนโลยีทางการเกษตร สัญชาติฝรั่งเศส-บราซิล เปิดผยว่า โดรนหว่านเมล็ดพันธุ์ จะถูกใช้ในการหว่านเมล็ดพันธุ์ไม้ต่างๆ ในพื้นที่ผืนป่าที่ได้รับความเสียหายและต้องการฟื้นฟู ให้ผืนป่ากลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา ซึ่งการใช้โดรนหว่านเมล็ดพันธุ์ข้างต้น ก็คล้ายคลึงกับการใช้ในพื้นที่เกษตรของบรรดาเกษตรกรทั้งหลาย โดยโดรนสามารถใช้หว่านเมล็ดพันธุ์ในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก และทำได้สะดวก รวดเร็ว กว่าการใช้แรงงานมนุษย์

การส่งโดรนไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ผืนป่า (Photo : AFP)

นอกจากการหว่านเมล็ดพันธุ์ไม้ต่างๆ แล้ว “โดรน” ยังถูกนำมาใช้ในการโปรยหว่านปุ๋ย เพื่อเป็นอาหารให้พืชได้เจริญเติบโตกว่าการได้รับสารอาหารจากธรรมชาติเป็นอย่างมากอีกด้วย ซึ่งโดรนที่หว่านโปรยปุ๋ยข้างต้น ก็คือ โดรนที่ใช้ในการหว่านเมล็ดพันธุ์ นั่นเอง สามารถปฏิบัติภารกิจโปรยหว่านปุ๋ย เพื่อเร่งพืชเหล่านั้นเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

พร้อมกันนี้ ทาง “มอร์โฟ” ยังระบุด้วยว่า จากการหารือกับทางการบราซิล และรัฐบาลท้องถิ่นของบราซิล กำหนดว่า จะต้องฟื้นฟูผืนป่าแอมะซอนในจุดที่ถูกทำลายไปให้พลิกฟื้นกลับคืนมาให้ได้อย่างน้อย 1 ล้านเฮกตาร์ หรือคิดเป็น 6.1 ล้านไร่ ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) หรืออีก 6 ปีข้างหน้า

นอกจากที่ผืนป่าแอมะซอน ประเทศบราซิลแล้ว ที่ประเทศอัฟกานิสถาน ทางกลุ่ม “ขบวนการโลกป่าฝน” การใช้ “โดรนหว่านเมล็ดพันธุ์” มาช่วยฟื้นฟูผืนป่าในอัฟกานิสถาน ที่สูญเสียผืนป่าไปอย่างหนัก จากผลพวงของสงครามกลางเมือง และสงครามการก่อการร้าย ตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา จนกลายเป็นช่องทางให้ขบวนการตัดไม้เถื่อน ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า เพื่อแปรรูปเป็นซุงเถื่อน ไม้แปรรูปเถื่อนต่างๆ แปลงไปเป็นเงิน เป็นผลประโยชน์ของกลุ่มตน จนผืนป่าในอัฟกานิสถานถูกทำลายไปเป็นอย่างมาก

ส่วนที่ออสเตรเลีย และแคนาดา ป่าไม้ในประเทศเหล่านี้ ก็ถูกทำลายไปจากปรากฏการณ์ไฟป่าเป็นประจำทุกปี ซึ่งแต่ละปีสร้างความหายนะแก่ผืนป่าของพวกเขาไปเป็นอย่างมาก ก็จำต้องใช้โดรนหว่านเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ มาช่วยเร่งปลูกป่า เพื่อฟื้นฟูผืนป่า ที่ถูกไฟป่าเผาวอด

ทั้งนี้ จากผืนป่าในแต่ละพื้นที่โลกถูกทำลายไปเป็นอย่างมากเช่นนี้ ก็เป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยที่ทำให้วิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน ที่โลกเราเผชิญจนร้อนระอุกันไปทั่วอยู่แล้ว ณ ชั่วโมงนี้ ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น การเร่งฟื้นฟูผืนป่าจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่ง “โดรนหว่านเมล็ดพันธุ์” ก็เป็นตัวช่วยที่สำคัญในการตอบโจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว