“พิธา”ตอกย้ำพร้อมเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ประกาศ 6 วาระประเทศไทย หากปล่อยไว้ จะกลายเป็นระเบิดเวลาให้คนรุ่นต่อไปมาแก้ไข คุยโวเลือกตั้งรอบหน้ากวาดส.ส. 270 เสียง “ธนกร" ปัดข่าว "รทสช."ร้าวหนัก ยันยังเหนียวแน่น ไม่มีก๊ก ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ย้ำจุดอุดมการณ์ดีเอ็นเอ"บิ๊กตู่" ด้าน อดีตส.ส.ปชป.ให้จับตามติศาลรธน. 23 พ.ค. อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมือง
ที่ไบเทคบางนา เมื่อวันที่ 19 พ.ค.67 พรรคก้าวไกล จัดมหกรรมนโยบายพรรคก้าวไกล Policy Fest ครั้งที่ 1 “ก้าวไกล Big Bang ” โดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้กล่าวปาฐกถาเปิดงาน “Why 6 Big Bang” ว่า รู้หรือไม่ว่าตนกังวลใจมากแค่ไหนกับการปาฐกถาวันอาทิตย์ กังวลว่าพี่น้องจะไม่มาหรือมาสาย หรือลืม “พิธา” ไปแล้วก็ไม่รู้ ตอนนี้เพิ่งกลับจากเยอรมัน เจ็ตแลคอยู่เล็กน้อย แต่ถ้าพี่น้องประชาชนมากันเยอะ ตนก็จัดเต็มให้
นายพิธา กล่าวว่า การปาฐกถาในครั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่าอยากเห็นการเมืองเป็นเรื่องสนุก ทำให้เป็นเรื่องของคนทุกคน วันนี้ต้องมีถึง “6 Big Bang” เราต้องการทำให้การเมืองเป็นเรื่องสนุก เราอยากเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ที่มีวาระเป็นของตัวเอง วันนี้เป็นวันที่พิสูจน์ว่าพรรคก้าวไกลไม่เหมือนพรรคอื่น เรามีโปรเจคทางการเมือง มีวาระทางการเมือง 6 อย่าง ที่หากปล่อยทิ้งไว้จะเป็นระเบิดเวลาของประเทศ แต่ถ้าพวกเราตั้งใจทำงาน ตั้งใจสร้างนโยบายการเมืองให้เป็นเรื่องสนุก ตนเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนระเบิดเวลา 6 ลูกนี้ ให้กลายเป็นศักยภาพของประเทศไทยได้
นายพิธา กล่าวว่า วันนี้ที่เรามารวมตัวกันเดือน พ.ค.ของประเทศไทยเป็นเดือนที่มีความรู้สึกปนเปกันไป บางช่วงของประวัติศาสตร์เดือน พ.ค. คือพฤษภาแห่งความกลัว บางปีเดือน พ.ค. ก็เป็นพฤษภาแห่งความหวัง ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา วันที่ 14 พ.ค.66 คือวันที่ 14 ล้านหัวใจทั่วประเทศไทย รวมกันเป็นหัวใจหนึ่งเดียว ที่อยากจะเห็นการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ที่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศไทยและทั่วโลกออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเข้าคูหาด้วยความหวัง
นายพิธา กล่าวอีกว่า ไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ชอบพรรคก้าวไกล ไม่ว่าท่านจะเลือกหรือไม่เลือกพรรคก้าวไกล ทุกคนต้องยอมรับว่าทศวรรษที่สูญหายตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ยึดอำนาจจนถึงการเลือกตั้ง นี่คือการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด บริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุด และไม่ใช่เป็นเพราะตนชนะการเลือกตั้ง หรือเพราะก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง แต่นี่คือพฤษภาคมแห่งความหวัง ที่พี่น้องประชาชนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่ารวยดีมีจน คนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นใหญ่ มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมหรือก้าวหน้า ทุกคนเข้าคูหา และไม่ว่าจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของพรรคก้าวไกล ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคก้าวไกลชนะอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการซื้อเสียงเลย แม้แต่บาทเดียว
นายพิธา กล่าวว่า อย่างที่ตนเคยสัญญาตอนที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลว่าตนไม่รังเกียจในการเป็นฝ่ายค้าน ขอซื่อสัตย์กับตัวเองทางการเมือง และทำงานเป็นฝ่ายค้าน เผลอ ๆ ถ้าฝ่ายค้านตั้งใจทำงาน จะทำงานได้เยอะกว่ารัฐบาลอีก ในระบบประชาธิปไตย ฝ่ายค้านเชิงรุกที่ทำงานก็สร้างความหวังให้กับพี่น้องประชาชนได้เช่นเดียวกัน ซึ่งการทำงานของฝ่ายค้านเชิงรุก ที่ควรมีส่วนประกอบของ 1.ผู้นำที่เข้มแข็ง 2.ประชาชนที่พร้อมแข่งขัน 3.ความเชื่อใจในกันและกัน ว่า ถ้าประเทศไหนมี 3 องค์ประกอบนี้ ประเทศนั้นจะมีความหวังเสมอ ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคหรือความท้าทายแบบไหน นี่คือสาเหตุที่เราอยากจะบอกว่า ในการเมืองไทยมีพรรคการเมืองที่หลากหลาย ยังมีพรรคอย่างพรรคก้าวไกลที่พยายาม พรรคก้าวไกลยังไม่เป็นพรรคที่สมบูรณ์แบบ เรายังมีเรื่องที่ต้องพัฒนาอีกเยอะ แต่อย่างน้อยเราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะซื่อสัตย์กับประชาชนกับตนเอง ตรงไปตรงมา พยายามสะสมประสบการณ์ในสภา การเรียนรู้ราชการ
“ตรงนี้คือ 6 Big Bang ของประเทศไทย ที่ถ้าเราทิ้งไว้จะเป็นระเบิดเวลา แล้วคนรุ่นต่อไปจะต้องมาแก้ไข แต่ถ้ารัฐบาล พรรคการเมือง หรือผู้นำ เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ พอที่จะสามารถลงทุนกับประชาชนให้มีความเข้มแข็งและมีความเขื่อมั่น ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กับถนน ผ้าม่าน สัมมนาอะไรไม่รู้ ถ้าบอกว่าวาระการทำงานของรัฐบาลคืออะไร ผมนึกไม่ออก แต่ผมก็ไม่อยากเป็นคนที่ค้านทุกเรื่อง หากพรรคตัวเองไม่มีวาระ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน แล้วอะไรคือวาระทางการเมืองของคุณที่จะเอาภาษีของพี่น้องประชาชน เอาความไว้วางใจที่มั่นใจว่าคราวหน้าจะได้มากขึ้นอีก สงสัยคราวหน้าต้อง 270 เสียงซะแล้ว หรือจะเอา 300 เสียง ตามตรรกะคูณ 2 แต่ผมไม่ได้พูดเล่นๆ ไม่ได้พูดเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีวาระที่ต้องการจะขับเคลื่อน“
นายพิธา ยังได้กล่าวถึงวาระดังกล่าวว่า ถ้าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ก็สามารถพูดได้ และเข้ามีส่วนร่วมได้ ซึ่งประกอบไปด้วย 6 ข้อ แบ่งเป็น วาระเฉพาะหน้า 1.เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ 2.เรียนรู้ทันโลก 3.ยกระดับคุณภาพชีวิต และวาระเฉพาะกาล 4.ปลดล็อกชนบทไทย 5.ปฏิรูปรัฐครั้งใหญ่ 6.ประชาธิปไตยเต็มใบ
นายพิธา กล่าวว่า แทนที่จะคิดนโยบายโดยเอากระทรวงมาเป็นตัวตั้ง โดยไม่เกิดการบูรณาการ เราต้องคิดแบบเอาวาระเป็นตัวตั้ง ให้หลายกระทรวงมารวมเป็นวาระเดียวกันได้ ไม่ต้องต่างคนต่างทำ ตอนที่เป็นไทยแลนด์ 4.0 ทุกกระทรวงของบประมาณมาสร้างถนน ขอสัมมนาภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 แต่ละกระทรวงต่างคนต่างคิดแล้วก็มารวมกัน ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ใต้ซอฟต์เพาเวอร์ ทุกอย่างเป็นซอฟต์พาวเวอร์หมดเลย ก็เปลืองภาษีของท่าน ถึงต้องเอาปัญหาของประชาชนและประเทศมาเป็นที่ตั้ง
“เรามาเดินทางไปด้วยกัน แม้ว่าเขาจะทำอะไรกับพรรคเรา เขาก็ทำลายจิตวิญญาณของพวกเราไม่ได้ แม้ว่าเขาพยายามจะทุบ ทำลายพรรคการเมืองของเราไป หรือจะไม่ทุบก็แล้วแต่ เราจะหยิบอิฐกันคนละก้อน แล้วมาสร้างบ้านหลังใหม่ของพวกเราไปด้วยกัน อย่างไรผมอยู่กับพวกคุณแน่นอน” นายพิธา กล่าว
ด้าน นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีมีสมาชิกพรรคหลายคนลาออกทำให้เกิดกระแสข่าวพรรคใกล้แตก ว่า ก็เป็นแค่ข่าวลือซึ่งในความเป็นจริง สส.และสมาชิกพรรคทุกคน มั่นใจและรู้กันดีว่า รวมไทยสร้างชาติเรายังเหนียวแน่น ทำงานเป็นทีม มีการแบ่งหน้าที่กันทำในส่วนต่างๆ ไม่ได้มีการแบ่งก๊ก แบ่งก๊วน แบ่งกลุ่มตามที่มีข่าว ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดถึงมีข่าวในลักษณะนี้ออกมา โดยมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของพรรค การเมืองที่มีคนออกคนเข้า ซึ่งรทสช.ก็เช่นกัน มีคนทั้งรุ่นเก่า รุ่นกลางและรุ่นใหม่มีทุกรุ่นขอเข้ามาร่วมงานกับพรรคอีกจำนวนมาก ซึ่งสมาชิกทุกคนมั่นใจในการนำของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาอย่างเข้มแข็งต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า แกนนำคนสำคัญที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคหลายคน ทั้ง นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ และนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ที่ถูกมองว่าเป็นคนของกลุ่มทุนของพรรค อาจเป็นสัญญาณเตือนทางการเมืองหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า การบริหารพรรคการเมือง ต้องให้เกียรติหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค รวมถึงกรรมการบริหารพรรคที่จะโบกธงนำพาสมาชิกในการทำงานการเมือง ส่วนการตัดสินใจลาออกถือเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ยืนยันว่า พรรครวมไทยสร้างชาติยังคงเดินหน้าทำงานตามอุดมการณ์ ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อตั้งพรรคไม่เปลี่ยนแปลง คือยึดมั่นการทำงานเพื่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง การคงอยู่ของพรรคขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง
"ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมีข่าวเรื่องพรรคแตกออกมา เพราะความจริงรทสช.เราเป็นทีมเดียวกันหมด ไม่มีก๊วน โดยเฉพาะเมื่อวันที่12 พ.ค.ที่ผ่านมาในงานสัมมนาสส.ของพรรค บรรยากาศดีเป็นไปอย่างชื่นมื่น ไม่มีการตั้งก๊ก แบ่งก๊วนอย่างที่ข่าว เพราะมั่นใจในหัวหน้าพีระพันธุ์ กรรมการบริหารและผู้ใหญ่ในพรรคจะพิจารณาทุกเรื่องอย่างเหมาะสม" นายธนกร กล่าว
ส่วน นายเทพไท เสนพงษ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ตนเห็นคำสัมภาษณ์ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จากต่างประเทศเกี่ยวกับกรณี สว. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยความสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรี กรณีการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ก่อนหน้านี้มีการสอบถามไปทางคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และมั่นใจว่าจะสามารถตอบคำถามได้ เพราะอยู่บนหลักการของความถูกต้องนั้น ตนคิดว่านายเศรษฐาคงทำเป็นใจดีสู้เสือ มั่นใจว่าตัวเองได้ดำเนินการถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแล้ว เพราะยึดคำหารือของคณะกรรมการกฤษฎีกา มาตรา 160 (6) (7) แต่ไม่ได้หารือมาตรา 160 (4) (5) ซึ่งเป็นข้อหารือที่ไม่ครบถ้วน และคงจะเชื่อข้อมูลของนายพิชิต ชื่นบาน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ต้องตีความเข้าข้างตัวเอง
นายเทพไท กล่าวว่า เมื่อการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของนายพิชิตขัดต่อรัฐธรรมนูญ นายเศรษฐาจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเป็นผู้ทูลเกล้าและรับสนองพระบรมราชโองการ เป็นการจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และการที่นายเศรษฐาออกมาแสดงความมั่นใจว่า ตัวเองทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่างนั้น น่าจะเป็นเรื่องของการกลบเกลื่อนความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ
1.ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับวินิจฉัยคำร้องดังกล่าวแล้ว จะต้องพิจารณาในท้ายคำร้องของ 40 ส.ว. ที่ให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วย ซึ่งโดยหลักปฏิบัติที่ผ่านมา จะเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ปัญหาที่ตามมาก็คือ ถ้าหากนายเศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง 2.ถ้าหากในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในอดีตที่ผ่านมา สามารถเทียบเคียงกันได้กับกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อหลุดจากตำแหน่งไปแล้ว มีการสนับสนุนให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ในครั้งนี้ถ้าหากนายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งไป จะสนับสนุนให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ดีลการเมืองเดิมมีเงือนไขอย่างไรบ้าง ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะเห็นด้วยหรือไม่ เว้นแต่ยังจำเป็นต้องยืมมือนายทักษิณมาสู้กับพรรคก้าวไกลต่อไป จึงขอให้รอดูผลการประชุมของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ว่า ผลออกมาอย่างไร ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง