จากกรณีคดีปัญหาตัดไม้พะยูงในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ถูกเปิดเผยขึ้น ในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 แยกเป็น 2 กรณี คือกรณีไม้ของกลางหาย เป็นการลักลอบตัดไม้ในสถานีเพาะชำกล้าไม้ อ.ยางตลาด มีการนำไม้พะยูงของกลางมาเก็บไว้ที่หน้าเสาธง สำนักงานเทศบาลตำบลอิตื้อ 7 ท่อน แต่ไม้ดังกล่าวหาย ซึ่งพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี ได้ดำเนินคดีด้วยการส่งสำนวนให้ ปปช.ประจำ จ.กาฬสินธุ์ พิจารณาเนื่องจากมีข้าราชการการเมืองกระทำความผิด อีกกรณีเป็นคดีตัดไม้พะยูงตามโรงเรียนหลายแห่ง เป็นการใช้ช่องว่างทางกฎหมาย มีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมขบวนการ เหตุเกิดมากที่สุดในพื้นที่ อ.ห้วยเม็ก และ อ.หนองกุงศรี ซึ่งฝ่ายปกครองได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง โดย พล.ต.ต.ตรีวิทย์ ศรีประภา ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ ได้เข้ามากำกับดูแลคดีนี้ด้วยตัวเอง เบื้องต้นเปิดเผยผู้ต้องหาในคดีมีไม่ต่ำกว่า 17 คน  

 

ล่าสุดวันที่ 19 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ต.ตรีวิทย์ ศรีประภา ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ เผยว่า หลังจากที่ฝ่ายปกครองอำเภอหนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.หนองกุงศรี ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาตนพร้อมด้วย พ.ต.ท.สมภาร แสนคำ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ห้วยเม็ก ในฐานะชุดสอบสวนเฉพาะกิจ คดีตัดไม้พะยูงที่ราชพัสดุ โรงเรียนคำไฮวิทยา อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ ได้ร่วมสอบปากคำพยานที่ สภ.หนองกุงศรี ร่วมกับ พ.ต.อ.สีหชาติ พรจรรยา ผกก.สภ.หนองกุงศรี โดยใช้เวลาในการสอบแต่ละครั้งครึ่งวัน เป็นการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมจำนวน 4 ปาก เป็นพยานคนใหม่ 3 ปาก และพยานคนเดิมที่เคยสอบไปแล้ว 1 ปาก ซึ่งทั้งหมดถือเป็นกุญแจดอกสำคัญ ในการขยายผลการสอบสวน เชื่อมโยงถึงข้าราชการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดไม้พะยูง 

จนกระทั่งวันนี้สรุปเบื้องต้นมีผู้ต้องหาทั้งหมด 10 ราย การสอบสวนเป็นไปตามที่ปลัดอำเภอหนองกุงศรี ได้มาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ กรณีตัดไม้พะยูงในโรงเรียนคำไฮวิทยา ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุไว้เมื่อวันที่ 3 พ.ค.67 ที่ผ่านมา โดยในวันนั้นได้ทำการสอบถามข้อมูลและลงพื้นที่ เก็บหลักฐานเพิ่มเติม จากนั้นทำหนังสือขอสำนวนการสอบสวน ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง อ.หนองกุงศรีกับทางจังหวัด ซึ่งสำนวนดังกล่าวทาง อ.หนองกุงศรีได้ส่งสำนวนไปที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.กาฬสินธุ์ เพื่อนำไปเทียบเคียงและประกอบการสอบสวนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเพื่อนำไปสู่กระบวนการดำเนินคดีตามกฎหมาย ลงโทษข้าราชการสีเทาที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับขบวนการฟอกขาวค้าไม้พะยูงและนายทุนข้ามชาติ

ทั้งนี้ พล.ต.ต.ตรีวิทย์ กล่าวว่า จากการสอบถามข้อมูลกับทาง อ.หนองกุงศรี และจากการสอบปากคำพยาน เบื้องต้นพบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำเข้าข่ายความผิด เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม ม.157  สรุปมีผู้ต้องหาคดีนี้จำนวน 10 ราย เป็นข้าราชการ 7 ราย คนตัดไม้และพ่อค้าอีก 3 ราย

ซึ่งในส่วนข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยจากพยานคนสำคัญนั้น ปรากฎไทม์ไลน์คือหลังจากผ่านขั้นตอนมีคนร้ายเข้ามาลักลอบตัดแล้ว ทางโรงเรียนได้ขออนุญาตตัดกับธนารักษ์พื้นที่ และมีการให้อนุญาตตัด ต่อมามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาประเมินราคา ก่อนทำสัญญาซื้อขายราคาต่ำกว่าท้องตลาด 30-50 เท่าตัว จากนั้นตัดทอนเป็นท่อนขึ้นรถบรรทุกไปส่งแหล่งรับซื้อ ซึ่งพฤติกรรมเข้าข่ายการฟอกขาวของขบวนการค้าไม้พะยูง  โดยมีข้อมูลใหม่ที่เชื่อได้ว่า ทำเป็นขบวนการ และเชื่อมโยงไปถึงพ่อค้าไม้พะยูงข้ามชาติ ที่เคยก่อคดีในพื้นที่ภาคอีสานหลายจังหวัด ซึ่งพนักงานสอบสวน จะเร่งสรุปสำนวนส่ง ปปช.ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในเร็วๆนี้” พล.ต.ต.ตรีวิทย์ กล่าวในที่สุด

สำหรับปัญหาการตัดไม้พะยูงที่ราชพัสดุขายในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ เป็นประเด็นร้อนมาตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค.66 โดยเกิดเหตุลักษณะเดียวกันหลายพื้นที่ ทั้งในสถานที่ราชการและในโรงเรียน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาครัฐ ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายเป็นจำนวนมาก และการซื้อขายเอื้อประโยชน์ให้ข้าราชการบางคน ที่อาศัยช่องว่างทางกฎหมาย และเป็นการขายในราคาที่ต่ำมาก ผิดปกติ โดยมีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน 3 เหตุการณ์คือ ท้องที่ สภ.โนนสูง อ.ยางตลาด ไม้พะยูงถูกลักลอบตัดในสถานีเพาะชำกล้าไม้ 1 ต้น 7 ท่อน นำของกลางมาเก็บที่เทศบาลตำบลอิตื้อก่อนหายไป  นำสู่กระบวนการทางกฎหมาย พนักงานสอบสวนชี้มูลความผิดข้าราชการ 8 คน เรื่องอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของ ปปช.

ทั้งนี้ จากข้อมูลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจชุดเฉพาะกิจ ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีตัดไม้พะยูงในโรงเรียน  ในส่วนของการตรวจสอบปริมาตรไม้ เพื่อประเมินราคา ตามมาตรฐานของกรมป่าไม้นั้น พบว่าตามที่ลงพื้นที่ประเมินราคา 3 โรงเรียน  อย่างไรก็ตาม หากคิดราคาซื้อขายตามจำนวนเงินที่ลงในใบเสร็จของ สพป.กาฬสินธุ์ เขต 2 กับราคาประเมินของกรมป่าไม้จะเห็นว่าทั้ง 3 แห่งส่วนต่างหายไปเป็นจำนวนมาก โดยทั้ง 3 แห่งรวมเงินซื้อไม้พะยูงเพียง 287,000 บาทเท่านั้น ขณะที่ราคาตามการประเมินของกรมป่าไม้สูงถึง 8,247,750 บาท ส่วนต่างหายไปถึง 7,960,750 บาท จึงเป็นหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า เกิดความทุจริต เบียดบังเงินหลวง  แสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ ในการขายไม้พะยูงในที่ราชพัสดุดังกล่าว