วันนี้(18 พ.ค. 67) พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญรอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2 และ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 ร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการ HANG UP จับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์โหดพร้อมสมุน 12 ราย บังคับทำยอดสัปดาห์ละ 20 ล้าน ฟันรายได้นับพันล้านบาทต่อปี


พล.ต.ท.วรวัฒน์ ผบช.สอท. กล่าวว่า หลังทราบเรื่องได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนจนพบพยานหลักฐานที่สอดคล้องว่าผู้เสียหายรายนี้โดนหลอกโดยแก็งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองโอเสม็ด จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ตำรวจไซเบอร์จึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศกัมพูชาว่ามีคนไทยถูกหลอกไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์และได้หาทางติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานทูตไทยในกัมพูชา จนสามารถช่วยเหลือออกมาได้จำนวน 4 คน


ต่อมา พนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.2 บช.สอท. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนทราบข้อมูลบุคคลของแกังคอลเซ็นเตอร์ในเมืองโอเสม็ดดังกล่าว จนสามารถขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ ได้จำนวน 15 ราย โดยตำรวจไซเบอร์ได้ลงพื้นที่ติตตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับกลุ่มดังกล่าวได้ ทั้งสิ้น 12 ราย ซึ่งสามารถจับกุมนายปฏิภาณ หรือ อาฉิ่ง อายุ 21 ปี หัวหน้าแก๊งได้อีกด้วย ส่วนผู้ต้องหาอีก 3 ราย พบว่าได้หลบหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติไปแล้ว

ด้าน พล.ต.ต.นิพล ผบก.สอท.2 ระบุว่าปฏิบัติการในครั้งนี้สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายรายหนึ่งได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นพนักงานธนาคาร โทรมาหลอกว่าผู้เสียหายเป็นหนี้บัตรเครดิต หากไม่ได้ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวอาจมีบุคคลแอบอ้างต้องแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองตาก เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ มิจฉาชีพจึงโอนสายต่อไปให้คนที่สองซึ่งปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตาก สวมบทข่มขู่ จากนั้นจึงให้ผู้เสียหายแอดไลน์แล้วข่มขู่ว่ามีพยานหลักฐานที่แสดงว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฟอกเงินต้องโดนดำเนินคดี ผู้เสียหายเกิดความกลัว มิจฉาชีพจึงให้ผู้เสียหายแสดงความบริสุทธิ์โดยการโอนเงินให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ จากนั้นมีการโอนสายต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมที่อ้างตัวเป็นผู้กอง สวมบทปลอบโยน โดยให้คำแนะนำและโน้มน้าวให้ผู้เสียหายโอนเงินไปตรวจสอบ อ้างว่าเสร็จแล้วและจะโอนคืนให้ในวันถัดไป  เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปหลายครั้ง รวมทั้งสิ้น 2,370,000 บาท กระทั่งรู้ตัวว่าโดนหลอก จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมา

โดยเจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญของอาฉิ่ง เกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานของแก็งคอลล์เซ็นเตอร์เก็บไว้ในแฟลชไดรฟ์จำนวนมาก เช่น ข้อมูลเหยื่อกว่า 12,000 ราย บทพูดหลอกลวงผู้เสียหายของสาย 1 และ สาย 2 รวมถึงข้อมูลการแก้ปัญหากรณีเหยื่อสอบถามกลับ และคลิปวีดีโอของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ทำการตัดต่อเสียงและ ข้อมูลบัตรข้าราชการตำรวจปลอม 


จากการสอบสวนผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมทุกคนให้การยืนยันว่า อาฉิ่ง คือผู้ควบคุมสั่งการทั้งหมด โดยพักอาศัยในอาคารมีรั้วสูงรอบขอบชิด มี รปภ. เฝ้าตลอดเวลา ไม่สามารถออกไปไหนได้หากใครทำยอดไม่ได้หรือทำผิดกฎหรือพยายามหลบหนี จะถูกบังคับให้ยืนตากแดดนาน 2-3 ชั่วโมงหรือทำร้ายร่างกายโดยการทุบตี และช็อตด้วยไฟฟ้า อีกทั้ง อาฉิ่ง ยังเป็นผู้เรียบเรียงบทพูดในการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยนายอาฉิ่งพูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาจีน


นอกจากนี้ผู้ต้องหาทุกคนยอมรับและเปิดเผยว่า ได้ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มดังกล่าวในประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2565 ถึงกลางปี 2566 ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและข้าราชการเกษียณอายุ โดยนายฉิ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องหลอกเหยื่อให้โอนเงินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 20 ล้านบาท หรือประมาณเดือนละ 80 ล้านบาท ทำให้มีแก๊งดังกล่าวมีรายได้หมุนเวียนนับพันล้านบาทต่อปี