นาทีนี้ต้องยอมรับว่า เรื่องข้าว 10ปีจากโกดังในโครงการจำนำข้าวสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลายเป็นเรื่องร้อน ปรอทการเมืองแทบแตก เพราะดูเหมือนว่าจะส่งแรงกระทบไปยัง ใครต่อใครอีกหลายคน ทั้งคนในรัฐบาล “เศรษฐา” และลุกลามไปยังอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีทุจริตการรับจำนำข้าว ฐานปล่อยปละละเลย

แต่ที่สำคัญ มากกว่าใคร เห็นจะต้องยกให้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์  เจ้ากระทรวงพาณิชย์ ที่เดินทางไปตรวจสอบคุณภาพข้าว  เมื่อวันที่ 6 พ.ค.67 จากโกดังจ.สุรินทร์ ในโครงการรับจำนำข้าว เป็นข้าวสารที่เก็บเอาไว้นานนับสิบปี โดยรองนายกฯภูมิธรรม  ให้เจ้าหน้าที่นำข้าวสารจากโกดังไปหุง แล้วนำมาชิมให้สื่อได้เห็นกันจะ ว่าข้าวยังสามารถรับประทานได้

โดยย้ำว่า ชิมแล้วไม่มีกลิ่นหืน ความหอมอาจจะลดลงไม่เหมือนข้าวใหม่ แต่ความนุ่มนวลไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น หลังจากตรวจสอบผู้ประมูลก็สามารถไปหาโรงสี หรือ ปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ดี

ทันที ที่ภาพความเคลื่อนไหว รองนายกฯภูมิธรรม  ปรากฏผ่านสื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาจากผู้คนในสังคมตามมา เพราะดูจะเป็นเรื่องที่ค้านสายตาข้าวเก่าที่เก็บเอาไว้ถึง10ปี ควรที่จะนำมารับประทานหรือไม่ ทั้งฝ่ายการเมือง และนักวิชาการต่างหยิบยกข้อมูลทางวิชาการมาหักล้าง กันอย่างดุเดือด 

ล่าสุด ภูมิธรรม ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนแล้วว่า ถ้ายังไม่หยุดการพูดจาบิดเบือน ใช้จินตนาการ มาโจมตีและด้อยค่าข้าวไทย จะมอบหมายให้ดำเนินการกันตามกฎหมาย ต่อไป จนมีเสียงสวนกลับว่า รัฐบาลคิดที่จะใช้ กฎหมายมาปิดปากคนที่วิจารณ์ข้าว10ปีอย่างนั้นหรือ

ในประเด็นเรื่องข้าว 10 ปี ยังลุกลามไปถึงกระทรวงกลาโหม และยังทำให้กรมราชทัณฑ์ถูกจับตาจาก พรรคฝ่ายค้านว่าอาจเป็น “จุดรับข้าว” ไปให้กำลังพลในกองทัพและนักโทษในเรือนจำตามมาได้

สำหรับภูมิธรรม นั้นปัจจุบันต้องถือว่า “สายตรง” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ได้รับความไว้วางใจ ทำงานกับทักษิณ ผ่านร้อน ผ่านหนาว ทางการเมืองกันมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ไม่ว่าภูมิธรรม จะมีตำแหน่งในพรรคเพื่อไทยหรือไม่ แต่คนในพรรค รู้ดีว่า ภูมิธรรม คือมือทำงานใกล้ชิดทักษิณ มากที่สุด คนหนึ่ง

ภูมิธรรม มีชื่อเล่นว่า “อ้วน” ปัจจุบันอายุ 70ปี จบปริญญาตรีรัฐศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2527 เข้าสู่งานการเมืองในตำแหน่งที่ปรึกษาคณะทำงานสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ในปี 2544  จากนั้นในปี 2550 ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง 2549

ต่อมาเมื่อพ้นจากการถูกตัดสิทธิทางการเมือง ภูมิธรรม กลับลงสนามการเมืองอีกครั้ง และยังเป็นผู้ที่มีบทบาทหลักในการจัดตั้งรัฐบาล ของพรรคเพื่อไทย ร่วมกับ “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” และ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ฝ่ากระแสโจมตี พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์ ทิ้งพรรคก้าวไกล และข้ามขั้วมาจับมือกับ “ฝั่งอนุรักษ์นิยม” จนสำเร็จ และในการปรับครม. “เศรษฐา1/1”  ภูมิธรรม ยังได้รับความไว้วางใจ ให้ดูแล “ความมั่นคง” ได้เป็นรองนายกฯที่คุมกองทัพ อีกด้วย