นับเวลาแล้วร่วม 11 ปี ที่ “จอยซ์ ไทรอัมพ์ส คิงดอม หรือ “กรภัสสรณ์ รัตนเมธานนท์” หลังต้องโทษคดียาเสพติด ติดคุกนาน 8 ปี 10 เดือน โดย "จอยซ์" ได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการ Made My Day วันนี้ดีที่สุด ทางช่อง Thai PBS เมื่อวันที่ 29 เม.ย.67 ว่าในการต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เหมือนกับสถานที่ที่เปลี่ยนชีวิต และสร้างตัวตนใหม่ให้กับเธอไปตลอดกาล

“ตอนโดนจับชีวิตเปลี่ยน มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงให้เป็นในวันนี้ แต่เหตุที่จะต้องโดนก็โทษใครไม่ได้ อยู่สน.ไม่โทร.หาใครเลย เพราะเรารู้ว่ามันผิด เราไม่ควรขอความช่วยเหลือจากใคร ขอจบด้วยตัวเอง ทุกคนรู้ว่าอยู่สน.ตอนออกข่าว แม้กระทั่งป๊า ป๊านี่คือสุดยอด เขาไม่เคยทิ้งเลย เขาอยู่เคียงข้างเราในทุกๆ มิติ เขาไม่มีคำพูดว่า เขาเดินเข้ามาตบไหล่ ไม่เป็นไรนะๆ ป๊าอยู่ตรงนี้ สามัญสำนึกมาเลย ว่าเราทำแบบนี้ได้ยังไง ปลดล็อกด้วยตัวเอง"

"ไม่เคยถามว่าป๊ารู้สึกยังไง หรือป๊าโทษตัวเองไหม แต่คิดว่ามันก็เป็นปัญหาแหละ การที่เราไปอยู่ในเรือนจำ หมายความว่าเรากำลังสร้างความทุกข์ให้คนในครอบครัว ทุกคนร่วมทุกข์ไปกับเรา อย่างน้อยเขาต้องโดนสังคมว่า พ่อไอ้ขี้คุก แล้วเขาก็เผชิญชีวิตอยู่อย่างนั้นมาในระยะเวลาที่เราติดคุก แต่เขาก็ไม่เคยมาพูดว่าเขาเจออะไรบ้าง แต่ป๊าเขาก็ปลีกตัวจากสังคมประมาณหนึ่งเหมือนกัน"

"วันที่เราเข้าไปข้างใน คือวันที่โดนจับ จัดการความรู้สึกตัวเองไปแล้ว เรายังรู้สึกว่าเราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร เรารู้สึกว่าการเข้าไปอยู่ข้างใน คือการปรับตัวที่เราต้องจัดการกับความรู้สึกตัวเอง ถามว่าวันนั้นแคร์ใครข้างนอกไหม ว่าเขาทุกข์แล้ว วันนั้นยังคิดไม่ได้หรอก เอาทุกอย่างแค่ตัวเอง พอเข้าไปอยู่แล้ว แรกๆ คิดว่าปรับตัวได้ กูเก่ง กูต้องอยู่ได้สิวะ เปลี่ยนที่นอน เหมือนไปนอนบ้านเพื่อน"

"คิดแบบนี้ตั้งแต่วันแรกเลย จนกระทั่งผ่านไป 3-4 ปี คือมันตกผลึก มันมีช่วงเวลาที่เราเข้าไป แล้วเราคิดว่าก็เหมือนไปนอนบ้านเพื่อนเปล่าวะ ก็แค่เปลี่ยนที่นอน ทุกวันนี้พฤติกรรมถูกละลาย จากการไปอยู่ในเรือนจำมาแล้วปลดล็อกความคิด ทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองชอบแบบนี้ ชอบตัวเองที่มองตัวเองมาแล้วชอบและภูมิใจ"

"สิ่งที่ไปเผชิญมีเรื่องของการปรับตัว การตื่นเช้า สวดมนต์ ต่อแถวอาบน้ำ 3 ขัน ห้องแรกรับในสมัยที่เราเข้าไป มันเป็นห้องที่เข้าไปเพื่อเรียนรู้กฎระเบียบ และปรับตัวในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะถูกจำแนกไปที่อื่น แล้วสมมติว่าจังหวะที่เราเข้าไป มีคนโดนจับพร้อมกัน 50 คน ทุกคนก็จะไปรวมกันอยู่ห้องนี้ นั่นหมายความว่า ห้องเล็กๆ ห้องนี้อจะเบียดไปด้วย 50 คน เวลานอนก็จะนอนติดๆ กัน เพื่อนตะแคงซ้าย ก็ต้องตะแคงทั้งแถว ถ้าลุกไปเข้าห้องน้ำก็ที่หาย นี่คือการปรับตัวที่ต้องปรับกับคนหลายๆ รูปแบบ"

"ตอนที่โดนตัดสิน เราเห็นตัวเลขเรา 8 ปี เราแม่xกาปฎิทิน ว่าอีก 3 ปีกูทนไหววะ อีก 2 ปีกูทนไหววะ อีกนิดหนึ่งวะ แต่พอวันหนึ่งไปฟังอุทธรณ์มา เป็นตลอดชีวิต เหลือ 33 ปี ช็อตเลย กลับมาไข้ขึ้นเลยจ๊ะ"

"ก็เลยเปลี่ยนชีวิตตัวเอง หาทางจัดการกับความทุกข์ เริ่มจากไปอ่านหนังสือไปยืมหนังสือจากในห้องสมุด เราสามารถอ่านหนังสือเล่มหนาๆ ภายใน 4 วันจบ ไม่ได้เป็นคนรักการอ่าน ไม่ได้รักการเรียน ไม่เคยสนใจเรื่องการอ่านหนังสือเลย แต่พออ่านปุ๊บ เฮ้ย…ดีวะ ได้ประโยชน์จากหนังสือเยอะแยะ เหมือนพาเราออกไปประเทศโน่น ประเทศนี้ มีความคิด เลยรู้สึกว่าเราสามารถอยู่ได้ด้วยการเอ็นจอยกับต้นไม้ กับนกบนท้องฟ้า อย่างน้อยข้างนอกเขาก็เห็นก้อนเมฆก้อนเดียวกับเรานะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ทำให้เราพ้นทุกข์"

"เปลี่ยนมุมมอง จากอ่านหนังสือ เรียนหนังสือ มาวางแผนเรียนปริญญาโท สมมติต้องอยู่อีก 20 ปี กำหนดโทษ 15 ปี ถ้า 15 ปีสามารถย้ายไปคุกนี้ได้ คุกนี้สามารถเรียนปริญญาโทได้ เดี๋ยวพอถึงอีก 12 ปี เราค่อยไปเรียนปริญญาโทที่นี่แล้วกันนะ พอไปเรียนแล้วค่อยมาดูว่าชีวิตจะยังไงต่อไป เราวางแผนแบบนั้น ถามว่ารู้ว่าตัวเองติดเยอะ แล้วจะเรียนไปทำไม สำหรับเราเรารู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์ มันมีเรื่องให้เราภูมิใจ เรารู้สึกว่ากูทำมันได้วะ รู้สึกว่ากูมีความสามารถ พอเราภูมิใจมันก็จะหลุดจากเรื่องทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ที่ควรจะทุกข์ออกมา"

"เราเรียนสายอาชีพตั้งแต่ตัดผม งานศิลปะ เรียนภาษาอังกฤษ เรียนคอมพิวเตอร์ ทำทุกอย่างเลย ใบประกาศนียบัตรเป็นปึก ถ้าจะบอกว่าอย่างหนึ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจเราตอนอยู่ในนั้นคือความภูมิใจ ก็น่าจะใช่ แต่มันช่วยบำบัดจิตใจเราได้ในช่วงเวลาที่ทุกข์ ช่วยให้มีสติปัญญามากขึ้น และทำให้ได้ความรู้ ส่วนกำลังใจหลักๆ ก็มาจากครอบครัว อาทิตย์หนึ่งมาเยี่ยมได้ 1 ครั้ง แล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ก็คือป๊านั่นแหละ ที่จะมาหาเราทุกอาทิตย์ เราก็รู้สึกโหยหาครอบครัวนะ บางทีก็ร้องไห้งอแงใส่เขา จากที่เป็นคนร้องไห้ยาก แต่ข้างในปรับพฤติกรรมเราหมด"

 "พอคำสั่งฏีกามาว่าพรุ่งนี้ต้องไปศาล เราก็แค่ไปศาลแล้วฟังคำตัดสิน เราเลิกหวังกับเรื่องข้างนอกตั้งแต่อุทธรณ์มาแล้ว ไม่คิดว่าจะได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก ไม่คิดว่าจะได้กลับบ้านวันนั้นด้วยซ้ำ เราไม่เคยเห็นภาพตัวเองและไม่เคยจิตนาการ ว่าวันหนึ่งจะได้ออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอกอย่างอิสระ"

"โมเมนต์ที่รู้ว่าจะได้ออกวันนั้นคือช็อก ไม่อยากกลับบ้าน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดูเตรียมใจมาเลย ช็อก ร้องไห้ อยากวิ่งกลับเข้าไปในคุกเลย เพราะไม่ได้เตรียมใจ ไม่ได้วางแผน ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตยังไง ไม่รู้จะทำยังไงให้คนอื่นเขาโอเคกับเรา คิดไปต่างๆ นานา ว่าพอเราก้าวออกไป สายตาคนอื่นที่เขามองมา เขาต้องมองเราเป็นไอ้ขี้คุกแน่เลย แล้วเราจะดำเนินชีวิตในสังคมยังไง เราไม่มีอะไรที่มันได้ตั้งตัวเลยสักเรื่องหนึ่ง จนกระทั่งวันที่ได้ออกมาจริงๆ ก็ยังกลัวเข้าไปใหญ่ นักข่าวรอเต็มไปหมด ความที่เราปิดตัวเองมาเกือบ 9 ปี ก็ยังงงกับสื่อและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปหมด เป็นอยู่อย่างนั้นประมาณ 1-2 เดือน"

"ด้วยความที่บ้านมีฟาร์มกุ้งอยู่ที่ตราด เราก็ไปเก็บตัวอยู่ในฟาร์ม ไม่ติดต่อใคร ไม่เอาอะไรเลย โบ (สุรัตนาวี สุวิพร) ชวนไปไหนก็ไม่ไป ไม่อยากเจอใคร ไม่ได้คิดว่าคนอื่นมองเราไม่ดี แต่รู้สึกว่าชีวิตเรายังไม่ปลอดภัย ต่อให้คนนั้นเป็นโบเพื่อนเราก็ตาม ยังไม่พร้อม เราไปอยู่ในโลกนานจนเรารู้สึกว่าเราทำใจกับช่วงเวลาเหล่าน้้นมาเกือบ 9 ปีแล้ว เรามีเพื่อนที่ดีอยู่ในนั้น เราสามารถแชร์หรือร้องไห้กับเพื่อนตรงนั้นได้ เวลาเราโมโห วันนี้ไม่อยากคุยกับใคร"

"แต่มาหายได้ตอนขึ้นคอนเสิร์ตพี่บอย อยู่ๆ ได้ยินเสียงกรี๊ด แล้วคนก็ร้องไห้ มันเป็นสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสได้ ว่าความรักมีอยู่ หลังจากนั้นถึงกล้าขึ้นรถเมล์ ลองไปขึ้นเรือ เดินข้ามถนน หายแบบหายจริงๆ เลย เราได้ออกมาตอนเดือนตุลาคม ขึ้นคอนเสิร์ตตอนเดือนธันวาคม ก็ใช้เวลาเป็นเดือน จริงๆ โบชวนหลายคอนเสิร์ต แต่ปฏิเสธไป มาแค่คอนเสิร์ตนี้ เพราะเราไม่กล้า ต้องเกาะป๊าตลอด แต่คุณพ่อเสียชีวิตไป 2 ปีแล้ว ตอนนี้ก็เป็นครอบครัวเล็กๆ มีแม่ มีน้อง มีญาติๆ ซึ่งความสัมพันธ์ก็ปกติดีค่ะ"

"หลังจากออกมาเรามีความสุขง่ายขึ้น จนกลายเป็นคนติดตลกติ๊งต๊องไปหมดแล้ว แต่ทุกวันนี้ยังไม่กล้าไปสอนใคร เรามีประสบการณ์ชีวิตมาแบบนี้ แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะไปสอนใคร มันจะมีคอมเมนต์ว่า ไอ้ขี้คุกอย่างมึงจะมาสอนใครได้ เราก็รู้สึกว่าเราไม่มีสิทธิ์จะไปสอนใคร แต่จะสื่อสารว่าดูชีวิตฉันนะ”